Sunday, March 10, 2013

โครงการพัฒนาศักยภาพผู้มีผลการเรียนก้า่วหน้าและผลการเรียนเป็นเลิศสู่กลุ่มประเทศอาเซียน : ณ เวียดนาม



รายงานผลการ:โครงการพัฒนาศึกษาภาพนักเรียนที่มีผลการเรียนก้าวหน้าและผลการเรียนเป็นเลิศสู่กลุ่มประเทศอาเซียน : เวียดนาม

ระหว่างวันที่ 11-14 มีนาคม 2556

         นักเรียนมีความพึงพอใจในการเข้าร่วมโครงการพัฒนาศึกษาภาพนักเรียนที่มีผลการเรียนก้าวหน้าและผลการเรียนเป็นเลิศสู่กลุ่มประเทศอาเซียน : เวียดนาม

จำนวนนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ 46 คน ตอบแบบสอบถาม 33 คน

1. ความภาคภูมิใจในต่อผลการเรียนของตนเอง ผลความพึงพอใจระดับดีและดีมากที่ ร้อยละ 66.00
2. การประชาสัมพันธ์โครงการ ผลความพึงพอใจระดับดีและดีมากที่ ร้อยละ 66.00
3. ความเหมาะสมของระยะเวลาการจัดโครงการ ผลความพึงพอใจระดับดีและดีมากที่ ร้อยละ 72.00
4. ความเหมาะสมของสถานที่ ในการเดินทาง ผลความพึงพอใจระดับดีและดีมากที่ ร้อยละ 75.00
5. ความเหมานะสมของอาคาร ตลอดการเดินทาง ผลความพึงพอใจระดับดีและดีมากที่ ร้อยละ 73.00
6. ความพึงพอใจโดยภาพรวม ผลความพึงพอใจระดับดีและดีมากที่ ร้อยละ 88.00

วิธีปฏิบัติตนให้ประสบความสำเร็จในการเรียน
1.  คิดถึงพ่อแม่เป็นที่ตั้ง 
2.  วิธีของผมไม่ได้มาจากความตั้งใจของตัวของพ่อและแม่ของผม ท่านบอกผมว่าถ้าทำผลการเรียนให้มากกว่าที่กำหนดไว้จะได้รางวัลจากท่าน เริ่มต้นผลการเรียนที่กำหนดก็จะไม่สูงมาก พอที่เราจะพยายามทำได้ถึง ตอนประกาศผล ผลออกมาว่าทำได้ดีกว่าที่ท่านกำหนดไว้มาก รู้สึกภูมิใจกับตัวเอง และอยากจะพยายามให้มากกว่านี้อีก ผลก็จะออกมาดีกว่านี้ออก ทำให้เมื่อถึงเวลาประกาศผลการเรียนทุกครั้งผมจะรู้สึกตื่นเต้นกับมันและมีความสุขกับมัน ต่างจากเพื่อนๆที่ไม่อยากจะดูผลการเรียนของตัวเอง
3.  ตั้งใจ มุ่ง ขยัน จะทำได้
4.  ตั้งใจเรียน ส่งงานตลอด
5.  การเรียนเราไม่ต้องไปซีเรียสมาก อย่าไปเครียดเรียนให้สนุก ทำตัวให้สนุกกับการเรียน ชีวิตในวัยเรียนเป็นอะไรที่สนุกมากๆๆๆ มาๆๆๆเข้าเรื่องดีกว่า ไม่มีไรมากครับ ไม่ต้องไปเเข่งกับใคร เราเเข่งกับตัวเองก็พอเเล้วครับ เเล้วก็ตามงาน ส่งให้ครบ ถ้าอาจารย์ไม่ให้ส่งเราก็ตามอีกนะครับ เราต้องอาศัยความหน้าด้านของเราเข้าเเรก ผมก็ใช้วิธีนี้หละครับ สุดท้ายอาจารย์แกก็ยอมเเพ้ความหน้าด้านเราเอง
6.   ตั้งใจเรียนในห้อง แล้วกลับมาทบทวน ใส่ใจกับการบ้านหรืองานที่ได้รับมอบหมายและส่งให้ตรงเวลา เรียนพิเศษเป็นเพียงการเรียนเสริม สรุปแล้วจะเรียนอะไรก็ต้องตั้งใจ และทำตามที่อาจารย์แนะนำ จึงจะได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์
7.  ตั้งจุดมุ่งหมายของตนเอง พยายามที่จะทำได้ตามจุดมุ่งหมาย ขยัน ตั้งมั่น ตั้งใจ ที่จะทำออกมาให้ได้ดีที่สุด 
8.  ตั้งความหวังในการเรียนไว้ให้สูงที่สุดเพราะถ้าหากพลาดหวังเเล้วจะได้ในสิ่งที่รองลงมา เเต่อย่าตั้งความหวังในสิ่งที่ไม่ใช่ที่สุดเพราะถ้าหากพลาดหวังเเล้วจะได้ในสิ่งที่ด้อยกว่า.
9.       ส่งงานที่อาจารย์สั่งให้ครบ ตั้งใจฟังอาจารย์สอน แล้วอ่านหนังสือทบทวน หลังเรียนและก่อนสอบ
10.   ตั้งใจเรียนในห้องให้เข้าใจเนื้อหาที่อาจารย์แล้วกลับมาทบทวนเองอีกที
11.   เอาใจใส่กับการเรียนให้มากๆ หมั่นขยันส่งงานและเข้าเรียนให้ครบทุกคาบ
12.   ตั้งใจเรียนเข้าเรียนทุกคาบ ไม่คุยในห้องเรียน ส่งงานให้ครบตั้งใจเรียนในห้องให้ดี อ่านทบทวนให้เข้าใจ จดโน้ตย่อเป็นของตัวเอง แล้วก็นั่งทบทวนสิ่งที่เขียน ไม่เข้าใจถามอาจารย์ผู้สอนคะ
13.   ตั้งใจเรียนในห้องให้มากๆ จะได้ไม่เสียเวลาในการเรียนพิเศษ
14.   ทบทวนหนังสือ ถ้าเราตั้งใจเรียน ทบทวนบ้างเราก็จะเข้าใจได้อย่างง่ายดาย
15.   ทำกิจกรรมไปด้วยควบคู่กับการเรียน เราต้องพยายามทำในสิ่งที่เราทำได้ในห้อง หรือช่วยงานส่วนรวม
16.   แบ่งเวลาให้เป็น พักผ่อนบ้าง มีเล่นบ้าง การเรียนไม่ใช่เรื่องเครียด
17.   รู้จักหน้าที่ของตัวเอง ทำงานให้เสร็จ ไม่ใช่ทำพอส่งๆ ตั้งใจทำให้ดีที่สุด
18.   หาจุดมุ่งหมายที่เป็นแรงบันดาลใจที่มีพลังที่สุด
19.   ตั้งใจเรียนในห้องให้ดี ทำงานส่งอย่างสม่ำเสมอ มีการเตรียมตัวก่อนสอบที่ดี พักผ่อนให้เพียงพอ และต้องผ่อนคลายให้มากที่สุด
20.   ตั้งใจเรียน อ่านหนังสือ ตามงาน มีเป้าหมายตั้งใจเรียนในห้อง แล้วกลับมาทบทวน ใส่ใจกับการบ้านหรืองานที่ได้รับมอบหมายและส่งให้ตรงเวลา เรียนพิเศษเป็นเพียงการเรียนเสริม สรุปแล้วจะเรียนอะไรก็ต้องตั้งใจ และทำตามที่อาจารย์แนะนำ จึงจะได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์
21.   ตั้งใจเรียน พยายามส่งงานให้ครบ ตามงานกับอาจารย์
22.   มีความสนใจในการเรียน พยายามประคับประคองตัวเองให้ดี อย่าให้เกรดตก ต้องพยายามให้เกรดมันพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ใส่ใจในการเรียน การบ้านที่อาจารย์สั่ง ตั้งใจเรียนในห้องเรียน แค่นี้ก็สามารถประสบความสำเร็จได้แล้ว
23.   ตั้งใจฟังในขณะที่อาจารย์สอน ส่งงานทุกงานให้ครบ สอบให้ครบ
24.   ส่งงานให้ครบทุกงาน และ สอบให้ผ่านหาแรงผลักดันอันดีที่สุดของเรา ส่งงานให้ครบ อ่านหนังสือทบทวน เรียนพิเศษ
25.   ตั้งใจเรียน อ่านหนังสือ ควรที่จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ให้เพื่อถามเรา คิดว่าทำได้เท่าไรเอาเท่านั้น
26.   ส่งงานให้ครบ อ่านหนังสือทบทวน เรียนพิเศษ
27.   ขยันอ่านหนังสือตั้งใจเรียนในห้องส่งงานตามที่สั่ง
28.   ส่งงานที่อาจารย์สั่งทุกครั้งและต้องทำด้วยตนเองเท่านั้น ในเนื้อหาวิชาใดที่ไม่เข้าใจให้รีบถามอาจารย์หรือเพื่อนๆ ที่สามารถให้ความรู้แก่เราได้ ไม่ควรเก็บความสงสัยไว้กับตนเอง ต้องทบทวนเนื้อหาวิชาที่เรียนสม่ำเสมอ ไม่อย่างนั้นจะต้องอ่านอย่างหนักในเวลาที่ใกล้สอบ Mid-term หรือ Final ซึ่งบางครั้งก็ไม่สามารถอ่านได้ทัน และควรศึกษาความรู้เพิ่มเติมบ้างในวิชานั้นๆ เพื่อความเข้าใจในการเรียนมากขึ้น
29.   ส่งงาน ตามงาน ค่อยถามเพื่อนว่ามีงานไรบ้างต้องตั้งใจอ่านหนังสือ เเละหมั่นทบทวนบทเรียนที่เรียนมา
30.    ทำความเข้าใจในวันที่เรียนให้ได้มากที่สุด จะทำให้ไม่ต้องมาเสียเวลานั่งอ่านใหม่หมดเเล้วจะช่วยให้เรียนได้เข้าใจเเละมีความสุขมากขึ้นค่ะพยายามต่อไปอย่าท้อแท้งานเยอะก็พยายามส่งให้หมดถ้ามีสอบเก็บคะแนนก็ต้องอ่านหนังสือ(อ่านตอนใกล้จะสอบอาจทำให้จำได้ดีกว่าแล้วแต่เทคนิค)
31.   ขยัน ตั้งใจทำงานและเรียนหนังสือ

  
ความคาดหวังในการทัศนศึกษา ...(ก่อนเดินทาง)

1.  คิดว่าการทัศนศึกษาครั้งนี้อย่างน้อยๆ จะต้องได้เรียนรู้เรื่องภาษา ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเวียดนาม และการเตรียมพร้อมในการเข้าสู่การเป็นอาเซียน
2.  อยากจะพบเจอวิถีชีวิตขณะระหว่างที่เดินทางไปยังจุดหมายของประเทศเพื่อนบ้าน ความเป็นมิตรของชาวลาวและชาวเวียดนาม
3.  น่าจะเป็นที่ที่สามารถให้ผมได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆในชีวิตและแนวคิดในการดำเนินชีวิตจริง
4.       ได้ท่องเที่ยวและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเวียดนามในสมัยก่อน ความเป็นมาต่างๆนึกว่าจะได้เล่นน้ำ ทะเล
5.   ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก อยากดูวัฒนธรรม วิถีชีวิต และอาหารการกินของคนประเทศเวียดนาม
6.   ศึกษาวิถีชีวิต แหล่งอารยธรรม และสถานที่สำคัญของประเทศเวียดนาม
7.   ในการทัศนศึกษาก่อนเดินทางมีความคาดหวังว่าในการเดินทางจะมีเเต่ความสนุกสนาน ไปเที่ยวในสถานที่ดีๆ ที่พักสะดวกสบาย เพื่อนๆที่ร่วมเดินทางมีความเป็นมิตร ไม่พบกับความลำบากเเละมีเเต่ความสุข
8.   จะได้ไปเที่ยวในสถานที่ที่น่าชม เห็นความเป็นอยู่และวัฒนธรรมของคนเวียดนาม และมีความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ได้รับประทานอาหารอร่อย 
9.   ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้ครับ ขอแค่สนุกก็พอ อิอิ
10. ได้รับประสบการณ์ในการเรียนรู้วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของประเทศเวียดนาม
11. ขอให้สนุก ตื่นเต้น
12. ประสบการณ์การไปต่างประเทศ หลายๆอย่างที่เราไม่เคยเจอ ไม่เคยกิน ไม่เคยได้ไปสัมผัส ว่าบ้านเมืองเขาแตกต่างกับเรายังไง ก็จะได้ไปเห็นวันนี้แหละ
13. ได้ประสบการณ์ในต่างประเทศ -มีความกล้าแสดงออกมากยิ่งขึ้น ได้ใช้ภาษาอื่นๆ -ได้ความรู้รอบตัวใหม่ๆ -ได้ความสนุก มิตรภาพจากเพื่อน อาจารย์ รุ่นพี่ รุ่นน้อง
14. ได้เปิดโลกทัศน์ของชีวิตให้ก้าวไกลขึ้นอีกขั้นและพัฒนากายและใจได้ดีขึ้นด้วยการสะสมประสบการณ์
15. คิดว่าจะไปอย่างทุลักทุเล ค่อนข้างจะลำบาก และไปในสถานที่ที่ไม่หลากหลาย
16. นึกว่าจะลำบากกว่านี้ แต่พอไปจริงๆก็สนุกดี 
17.ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก อยากดูวัฒนธรรม วิถีชีวิต และอาหารการกินของคนประเทศเวียดนาม
18. ขอให้สนุก
19. นึกว่าจะได้เล่นน้ำ ทะเล
20. ก่อนเดินทางไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แค่คิดว่าอยากให้การเดินทางครั้งนี้ไปอย่างมีความสุข สนุกสนาน เดินทางโดยสวัสดิภาพ ไม่โดนขโมยของอะไรประมาณนี้ค่ะ แต่สิ่งที่ได้เจอในการเดินทางครั้งนี้ดีกว่าที่คาดหวังไว้มาก สนุกสุดๆ วิวสวย ได้ไปเที่ยวหลายที่ มีความสุขมากค่ะ
21. หวังให้ได้นอนที่พักดีๆ ทัวร์ดีๆ ทานอาหารดีๆ ได้ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆให้คุ่มค่าและเวลาที่มา ได้รู้จักกับรุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียนเพิ่มมากขึ้น
22. หวังว่าโรงเรียนจากพาไปที่เที่ยวที่สนุกสนานและหวังว่าจะเป็นการเดินทางที่สนุก
23. ได้เรียนรู้และเปิดโลกทัศน์
24. ขอให้สนุก ตื่นเต้น
25. เดินทางปลอดภัย ไม่มีอุบัติเหตุ
26. ขอให้สนุก ตื่นเต้นปลอดภัยตลอดการเดินทาง
27. ได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง ได้ศึกษาวัฒนธรรมในเวียดนามได้อย่างเต็มที่ 
28. สนุก ได้เจออะไรใหม่ๆ ความรู้
29. คาดหวังที่จะเห็นภูมิประเทศใหม่ๆ รวมทั้งการพัฒนาของประชากร การศึกษาเเละเทคโนโลยีของประเทศเพื่อนบ้าน ที่จะสามารถนำมาปรับใช้เเละเอาเป็นตัวอย่างในการพัฒนาตนเองเเละประเทศชาติได้ค่ะ
30. คิดว่าจะได้ขึ้นเครื่องบิน
31. หวังว่าจะได้ประสบการณ์ ได้ความรู้ และการท่องเที่ยว


ความประทับใจในการเดินทาง (ระหว่างเดินทาง พิมพ์จากเอกสารที่แจกในบันทึก)

1.       การเดินทางไปทัศนศึกษาที่ประเทศเวียดนาม เริ่มต้นจากวันแรกที่เราเริ่มออกเดินทางจากโรงเรียนวันที่ 11 มีนาคม 2556 เวลา 4.00 น. โดยเดินทางผ่านทาง อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ไปยังด่านที่ จ.มุกดาหาร โดยจอดรับประทานอาหารตามเซเว่นข้างทาง แล้วเดินทางผ่านประเทศลาวใช้เวลาในประเทศลาวประมาณ 6-7 ชั่วโมง ซึ่งถนนเป็นหลุมเป็นบ่ออย่างมาก หลับค่อนข้างยาก นั่งเฉยๆก็ค่อนข้างยากเช่นกัน เราก็ถึงยังประเทศเวียดนาม ซึ่งได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีมาก ไกดประเทศเวียดนามก็พูดภาษาไทยได้ค่อนข้างชัด สถานที่ที่เราเยี่ยมชมเป็นอย่างแรกคือ อุโมงวินห์ม็อก เป็นอุโมงที่ชาวเวียดนามใช้หลบภัยใต้ดินในช่วงสงครามเวียดกง ซึ่งมีทั้งหมด 3 ชั้น ภายในนั้นมีทั้งห้องพยาบาล ห้องนอน ห้องระชุม ห้องครัว ฯลฯ ชาวเวียดนามอาศัยอยู่ที่นั่นทั้งหมดประมาณ 6 ปี เวลานอนจะนั่งนอนเพื่อเป็นการประหยัดพื้นที่ ภายในอุโมงจะมีด่านป้องกันคนต่างๆ มากมาย เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับคนที่อยู่ในอุโมง แต่ภายในอุโมงค่อนข้างหายใจยาก จึงสำรวจได้ไม่นาน อุโมงค์ค่อนข้างกว้างมีทั้งด้านที่ติดภูเขา และติดทะเล หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางไปรับประทานอาหารเย็นเวลา 3 ทุ่ม ซึ่งดึกมากโดยมีอาหารมากมายจนทานเหลือแทบทุกโต๊ะ และมีของหวานเป็นผลไม้ คือกล้วย ซึ่งอยู่ที่เวียดนามเวลาทานกล้วย จะทานตั้งแต่ตอนมันยังสีเขียวๆ อยู่ซึ่งต่างจากบ้านเรา ห้ามรอจนมันเหลือง เพราะถ้าเปลือกมันเหลืองพอปลอกเปลือกมันก็สุกมากจนทานไม่ได้ แต่ที่เห็นเขียวๆนั้นก็สามารถทานได้ รสชาติไม่ต่างจากกล้วยเหลืองๆบ้านเรา วันที่ 2 เดินทางไปชมพระราชวังไดโหน่ย ซึ่งเป็นที่ประทับของราชวงศ์เหวียนทั้ง 13 พระองค์ เป็นพระราชวังที่ใหญ่มากโดยมีทั้งสถาปัตยกรรมจีน ญี่ปุ่น และเวียดนามผสมผสานอยู่ด้วยกัน จากนั้นเราก็เดินทางไปยังวัดเทียนมู่ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า วัดนางฟ้า เป็นวัดที่สร้างโดยจักรพรรดิ์องค์หนึ่งของเวียดนามฝันว่ามีนางฟ้าองค์หนึ่งมาบอกว่าถ้ามาสร้างวัดไว้ที่นี่ ประเทศเวียดนามจะเจริญรุ่งเรืองขึ้น จึงสร้างวัดขึ้นตามที่นางฟ้าองค์นั้นบอก และในอดีตเจ้าอาวาสของวัดเทียนมู่นี้เคยทำการประท้วงการฉ้อราษฎร์บังหลวงของรัฐบาลไซงอน โดยการขับรสออสตินออกไปแล้วจุดไฟเผาตัวเองแต่สิ่งเดียวที่ไม่ไหมคือหัวใจ ซึ่งตอนนี้หัวใจของเจ้าอาวาสองค์นั้นเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์เมืองฮานอย แต่รถออสตินยังเก็บไว้ที่วัดเทียนมู่แห่งนี้ จากนั้นเราก็ไปรับประทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารริมทะเล โดยประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่ติดทะเล แต่ทะเลดูไม่น่าเล่นเท่าบ้านเราเพราะคลื่นค่อนข้างแรง อากาศเย็น และน้ำไม่ใสเท่าที่บ้านเรา แต่มีการทำการประมงอย่างแผ่หลายดังนั้นอาหารหลายๆมื้อที่ทานที่ประเทศเวียดนามจึงเป็นอาหารทะเล และเวลาที่เวียดนามเป็นเวลาปกติเท่ากับเวลาประเทศไทย จากนั้นเราก็เดินทางสู่เมืองฮอยอันเพื่อเยี่ยมชมเมืองเก่าและสะพานฮอยอัน ที่เคยนำไปสร้างหนังเรื่องฮอยอันฉันรักเธอนั่นเอง โดยที่สะพานฮอยอันเป็นสะพานที่ชาวญี่ปุ่นสร้างขึ้นเนื่องจากเชื่อว่าเป็นการกลั้นไม่ให้มังการดิ้น เพราะถ้าหากมังกรดิ้นจะทำให้ญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหว และตามทางที่เดินไปชมสะพานฮอยอันจะมีร้านขายของตามบ้านเก่าต่างๆ ซึ่งบรรยากาศดีมาก คล้ายๆกับเชียงคานบ้านเรา ของก็ราคาใกล้เคียงกับที่ตลาดดานัง สามารถต่อได้ แม่ค้าก็พูดภาษาไทยได้เช่นกัน วันที่ 3 เริ่มต้นโดยการไปเที่ยวที่เทือกเขาบานาฮิลล์ ซึ่งเป็นเทือกเขาที่สูงมาก บนเทือกเขาจะมีสวนสนุกเล็กๆ อยู่ข้างบน เราเดินทางชมเทือกเขาโดยเคเบิลคาร์ โดยต้องจ่ายค่าเข้าเป็นเงินคิดเป็นเงนไทยประมาณ 700 บาท เป็นระยะทางยาวมากประมาณ 3 กิโลเมตรหรือมากกว่านั้น วิวข้างล่างเคเบิลคาร์เป็นป่าไม้และน้ำตกสวยมาก พอไปถึงข้างบนซึ้งเป็นสวนสนุกมีทั้งปีนเขา หนัง 3D แบบ 360 องศา และ 5D ซึ่งที่ประเทศไทยเรายังไม่มี เป็นอะไรที่น่าประทับใจมาก พนักงานพูดภาษาอังกฤษพอได้ แต่สำเนียงค่อนข้างฟังยาก จากนั้นเราก็เดินทางไปที่ตลาดดองบา ซึ่งอยู่ไกลจากบานาฮิลล์มากจึงใช้เวลาในการเดินทางค่อนข้างนาน ที่ตลาดดองบาเป็นตลาดศูนย์กลางทางการค้าของเวียดนาม อารมย์คล้ายๆกับตลาดโรงเกลือที่ประเทศไทยบ้านเรา เราต้องต่อราคาของประมาณ 50 เปอร์เซนต์ บวก ลบอีก 10 เปอร์เซนต์ ถ้าหากไม่ได้ก็เดินหนีเลย ถ้ามันได้จริงๆ เค้าก็จะเดินมาตามเราไปซื้อ หรือถ้าไม่ได้เราก็ไปซื้อร้านอื่น วันที่ 4 เดินทางกลับตั้งแต่เช้า ถึงสารคามประมาณทุ่มกว่าๆ 
2.       ได้พบวิถีชีวิตของชาวลาวและชาวเวียดนามและมิตรไมตรี ภูมิทัศน์ริมสองฝั่งทาง ธรรมชาติของแต่ละสถานที่ทุกคนเป็นกันเองและมีระเบียบการเดินทางที่ชัดเจน
3.       พบเจอความเป็นอยู่และบ้านเมืองและการใช้ชีวิตของคนเวียดนาม
4.       ก็หลับดีครับ นอนสุดทาง เเต่ถนน ช่วงลาว หนิ โอยๆๆๆ ก็รู้สึกสนุกดีครับ ได้เปิดโลกกว้าง ได้เห็นหลายอย่างได้ฝึกพูดกับคนที่ใช้ภาษาต่างกัน อย่างน้อยก็เพิ่มความกล้าที่จะพูดกับคนอื่น ถึงเเม้จะ พูดได้น้อย ติดๆๆขัดบ้าง แต่ผมรู้สึกดีใจที่คุยกับเขาได้นิดหน่อย แต่โชว์เฟอร์ รถ ผมคุยกันไม่รู้เรื่อง555 นี่โรงเรียนเป็นที่เเรกที่เปิดซิงให้ผมได้ไปต่างประเทศ เพราะว่าไม่เคยไปเลย ขอบคุณมากนะครับ ทีเเรกนึกว่าอาจารย์โกหก พูดเล่นๆ เเต่ได้ไปจริง เสย ภูมิใจครับ เพราะน้อยคนที่จะได้ไป555
5.   ประทับใจแทบทุกอย่าง ได้เห็นทุกอย่างตามที่คาดหวังไว้ อุโมงค์หลบภัยใต้ดินเห็นแล้วก็ทึ่งและเข้าใจว่าทำไมคนเวียดนามถึงเป็นคนเก่งและสู้ชีวิต สถานที่ที่ไปแล้วสนุกที่สุดคือยอดเขาบานาฮิลล์ บรรยากาศข้างบนเย็นสบายและทิวทัศน์สวยงามมาก ได้นั่งกระเช้าไฟฟ้าผ่านภูเขาหลายลูก ข้างในมีเครื่องเล่นหลากหลาย เห็นแล้วเชื่อว่าใช้งบประมาณมหาศาลซึ่งเขากล้าลงทุนและเชื่อว่าในอนาคตคงเป็นที่ที่สร้างรายได้ได้ดี ที่ประทับใจที่สุดคือเขานำเสนอวัฒนธรรมทั้งในสมัยก่อนและปัจจุบันรวมทั้งชุดประจำชาติ อาหารประจำชาติและอื่นๆเกี่ยวกับประเทศของเขาได้ดีมาก การค้าขายเขาสามารถพูดภาษาไทยได้คล่อง ในขณะที่เราไม่รู้ภาษาของเขาเลย เป็นสิ่งที่เราน่าจะฉุกคิดได้แล้วว่าถ้าเราเปิดอาเซียนเราจะสู้เขาได้หรือไม่ เหมือนกับว่าเขาเตรียมความพร้อมมาแล้วหลายปี และพร้อมที่จะเข้าสู่อาเซียนแล้ว
6.   มีไกค์ที่คอยแนะนำสถานที่ต่างๆอยู่ตลอด มีอาหารที่สุดดยอดเกินคำบรรยาย ได้ใช้ภาษาอังกฤษ ได้ต่อราคาอย่างสนุกสนาน และมีที่พักที่หรูสุดๆ
7.   ในระหว่างการเดินทางไปทัศนศึกษาที่เวียดนามมีความประทับใจในทุกสิ่งเพราะทุกอย่างดูเเตกต่างจากเมืองไทยมาก ไม่ว่าจะเป็นถนนที่ใช้ในการเดินทางถึงเเม้จะไม่สะดวกสบายนักเเต่ก็ทำให้เราเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางได้ เเละทัศนียภาพสองข้างทางก็เเตกต่างจากเมืองไทยมาก ทำให้รู้สึกภูมิใจว่าเราเกิดในเมืองไทยที่มีความอุดมสมบูรณ์เป็นความโชคดีในชีวิต เเละจากไปทัศนศึกษาที่ประเทศเวียดนามทำให้กล้าที่จะตัดสินใจในการเดินทาง กล้าที่จะถามทางจากคนอื่น รวมถึงการกล้าที่จะใช้เเละฝึกภาษาอังกฤษไปในตัว อีกทั้งทำให้รู้จักความตรงต่อเวลา สุดท้ายนี้อยากบอกว่าการเดินทางไปทัศนศึกษาครั้งนี้เป็นการไปทัศนศึกษาที่ดีที่สุดที่เคยไปมา ปล.wi-fi ที่เวียดนามเร็วมากค่ะ:)
8.   ประทับใจการเดินทางเป็นไปอย่างสนุกสนาน มีไกด์นำเที่ยวผ่านประเทศลาวชื่อพี่ไข่คำหรือพี่หล่า เป็นสาวลาวที่สวยและใจดีมาก เราต้องเดินทางผ่าน 6 เมืองในลาวถึงจะถึงประเทศเวียดนาม ถึงประเทศเวียดนามเรามีไกด์เป็นคนเวียดนามชื่อพี่ขิม เป็นคนเฟร์นลี่และพูดเก่ง เราได้ไปเที่ยวหลายที่ แต่ละที่ก็สนุกมาก ได้เห็นสถานที่สวยงาม เมืองเก่า และมรดกเวียดนาม ไปเดินตลาดที่เวียดนามไม่ว่าจะเป็นฮอยอันหรือดองบา ของถูกดี แต่เราต้องต่ิราคาเพราะเเม่ค้าเวียดนามค่อนข้างตั้งราคาไว้สูงมาก สินค้าก็มีหลายอย่างมากมาย อาหารที่ได้รับประทานในภัตตาคารต่างๆอร่อยดี โรงแรมก็หรูหรา สะดวกสบาย ไวเรตฟรีและแรงมาก รวมๆแล้วการไปเที่ยวในครั้งนี้ให้ความสนุกสนานและทำให้ได้เห็นหลายอย่างที่เวียดนาม เป็นการเดินทางที่คุ้มค่ามาก 
9.       ได้รู้จักเมืองต่างๆในแต่ละประเทศที่ได้เดินทางผ่าน และขอบคุณไกด์และคนขับรถที่พาพวกผมไปใช้แบบเวียดนามและสั่งปลาให้พวกผมกินพี่เขาดูแลดีมาก จบ อิอิ
10.   ประทับใจในบ้านเมือง และวิถีชีวิตของคนเวียดนามที่ส่วนใหญ่จะนิยมขับรถจักรยานยนต์แล้วยังสวมหมวกกันน๊อคทุกคน แม้ว่าจะไม่มีไฟจราจร แต่ก้ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุบ่่อยครั้ง เรียกว่าขับรถแบบวัดใจกันไปเลย ชอบกระเช้าลอยฟ้าบานาฮิลล์ที่ถือว่าสูงจากระดับน้ำทะเลมากๆ วิศวกรเจ๋งมาก ยังกะไปเนรมิตเมืองไว้บนภูเขาลูกหนึ่งเลย ชอบๆๆ >< โดยรวมของเวียดนามก็ประทับใจเกือบหมด โชคดีที่คนที่นั้นพูดไทยได้เยอะมากเลยไม่ค่อยมีอุปสรรคในการสื่อสารเท่าไหร่ ถ้าได้ไปเวียดนามอีกครั้งก็จะไป แต่อยากลองไปเวียดนามเหนือกับใต้บ้าง คงจะสนุกแล้วก็ได้ความรู้เหมือนกัน 
11.   ประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางประวัติศาสตร์ มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ที่ประทับใจมากที่สุกคือ พระราชวังดาโหน่ย เพราะเป็นการแสดงความเป็นเวียดนามอย่างแท้จริง
12.   สนุกมากๆๆๆๆคะ ^[]^ อธิบายได้ไม่หมดแน่ คืออาหารอร่อย ที่พักสวยงาม เวียดนามเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ไม่คิดว่าจะมีอะไรสวยงามและแหล่งท่องเที่ยวมากมายขนาดนี้ทั้งสถานที่ในประวัติศาสตร์ช่วงสงครามเวียดนาม พระราชวังที่ใหญ่โตมาก (ชื่อเป็นภาษาเวียดนาม จำไม่ได้แล้วคะ ><) ทะเลเวียดนามก็สวย ทรายขาวละเอียดมาก ที่นี้มีวัฒนธรรมแปลก ๆ ก็หลายอย่าง เช่น หนุ่มสาวชาวเวียดนามกอดกันตามถนนหนทางตอนกลางคืนก็เป็นเรื่องไม่แปลกนะคะ ที่นี้เขาจะบีบแตรรถตลอดเวลาเมื่อเป็นสัญญาณให้รู้ว่ามีรถมานะ ที่เจ็บใจบางอย่างคือตอนไปทะเลตอนกลางคืนมีกลุ่มคนเวียาดนามมาทักว่าเราเป็นคนลาวคะ =_= สงสัยหน้าและภาษาเราใกล้เคียงกันเกินไป อาหารทะเลที่นี้สด อร่อยคะ ปูตัวใหญ่มาก เนื้อหวานด้วย แต่อาหารที่นี้จะมีจานหนึ่งที่หลายคนไม่ค่อยก็คือผัดผักกวางตุ้ง เพราะมันมีแต่กวางตุ้งจริงๆ ไม่มีเนื้ออะไรเลย ฮ่าๆ สวนสนุกที่นี้อยู่บนเขา! สูงมาก!! แต่สวยงามมาก ต้องนั่งกระเช้าไกลถึง 5 กิโลเมตร บรรยากาศข้างล่างเหมือนหนังเรื่อง Twilight เลยคะ! ภูเขาเขียวชอุ่ม ขึ้นไปก็มีสวนสนุก เครื่องเล่นสุดยอด! วุ้นพยายามเล่นทุกอย่างแล้วนะ แต่เวลาไม่พอ TT ไม่เป็นไรคะ ครั้งหน้ามีโอกาสค่อยไปใหม่ ฮ่าๆ การซื้อของที่นี้อย่างเช่นที่ตลาดดงบา ต้องต่อแบบ 50/50 จริงๆคะ (ต้องใจกล้าคะ! แม่ค้าไม่ยอมเดินหนีเลยคะ เดี๋ยวเขาเรียกเราเอง ^^) การเดินทางอาจจะเหนื่อยไปหน่อยเพราะต้องขี่รถบัสข้ามหลายประเทศและระยะทางไกล แต่ใจไม่หวั่นคะ
13. สิ่งที่ประทับใจในการเดินทางครั้งนี้ ขอบอกเลยว่า ประทับใจในประเทศเวียดนาม เนื่องจากเป็นประเทศในกลุ่มอาเซียนเช่นกันกับประเทศไทย ทัศนียภาพต่างๆ และสิ่งแวดล้อมของประเทศเวียดนามอุดมสมบูรณ์มากๆ ต้นไม้ ภูเขาเยอะ ชอบทะเลคะ อาหารเวียดนามเป็นอาหารที่ทานง่าย แต่รสจืดกว่าอาหารไทย ชาวเวียดนามเรียนรู้จะให้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ไม่ทำลายมัน อาหารทะเลก็อร่อยคะ ของค่อนข้าวราคาถูก แต่ต้องมีการต่อรอง (เยอะ)เลยทีเดียว อากาศที่เวียดนามสชื่นมาก ไม่มีกลิ่นฝุ่นควัน ชอบเด็กนักเรียนของชาวเวียดนามคะ ที่ปั่นจักรยานไปเรียน ผู้คนน่ารักดีคะ สิ่งที่ชอบมากสองอย่างก็คือทะเล และที่ Banahills คะ ได้นั่งกระเช้าลอยฟ้า สูงมากกกก ยาวมากๆด้วย ประทับใจมากเลยคะ ข้างบนภูเขาที่ Banahills มีโรงแรม วัด และสวนสนุก จุดเด่นคือตรงนี้คะ ฮ่าๆๆ ได้ใช้เวลาในสวนสนุก มีความสุขมาก ได้อยู่กับเพื่อนๆคะ อีกอย่าง วัฒนธรรมเวียดนามก็ดูหลากหลายทั้งจีน ฝรั่งเศสและของเวียดนามเอง สถาปัตยกรรมก็คล้ายๆของจีนคะ โดยรวมแล้วเป็นทริปที่สนุกมากๆคะ 
14.   ในวันแรกของการเดินทาง มันเป็นตอนเช้ามึดที่แสนน่าตื่นเต้นเพราะเป็นครั้งแรกที่จะเดินทางไปโดยไม่มีพ่อแม่ การเดินทางเริ่มต้นจริงๆก็เป็นตอนที่เราอยู่ที่มุกดาหาร เราเดินผ่านด่านตรวจเพื่อจะออกนอกประเทศ...พาสปอร์ตที่ทำมาใหม่ๆถูกตราเป็นครั้งแรก เราข้ามแม่นำ้โขงมาจนถึงฝังลาวและได้พบกับไกด์คนแรก. พี่เต๋าซึ่งพาเราข้ามประเทศลาวผ่านแขวงสะหวันนะเขต ระยะทางกว่า250กิโลเมตรมาถึงด่านลาวบาวของเวียดนาม การเหยียบแผ่นดินเวียดนามให้ความรู้สึกที่แตกต่าง ที่นั่นเรารู้สึกถึงความเป็นคอมมิวนิสต์ได้ทันที สีเหลืองและแดงที่ประตูด่านเรียงร้อยเป็นภาษา ถึงแม้จะอ่านไม่ออกก็รู้ว่าเป็นการต้อนรับที่ดี ไกด์คนที่สอง พี่นะรินชาวเวียดนามเป็นคนที่พาเราเดินทางท่องเที่ยว ที่แรกที่เราไปนั้นใช้เวลาถึง3ชั่โมงในการเดินทางไปที่อุโมงค์หวิ่นม็อก อุโมงค์หลบภัยสมัยสงครามเวียดนามที่คนจำนวน300คนอยู่และหลบซ่อนกันถึง6ปี เราได้เดินลงไปในชี้นแรกของอุโมงค์ที่16เมตรข้างใต้ เป็นชั้นที่ชาวบ้านอาศัยและชั้นที่ใช้รักษาพยาบาล. ในวันแรก เวลามันดึกเกินกว่าจะไปที่อื่นๆเราจึงเข้ที่พักกัน วันที่สองเราเริ่มกันที่เมืองเว้ ข้ามแม่น้ำหอม มาอีกฝั่งหนึ่ง เป็นที่ตั้งของพระราชวังได๋โหน่ย เป็นวังของราชวงศ์สุดท้ายของเวียดนาม แต่เนื่องจากพายุเข้า80%ของวังจึงยังบูรณะอยู่ ต่อมาคือ วัดเทียนมู่ วัดโบราณที่สร้างเพื่อบูชานางฟ้าในความฝันของพระราชาองค์แรก ต่อมาเราเดินทางมาที่ร้านอาหารริมทะเลเว้ อาหารทะเลต่างๆมีมากล้นโต๊ะ หลังจากทานเสร็จ เราแวะเดินทะเลที่สวยงาม หาดเวียดนามนั้นแตกต่างจากหาดไทยที่คลื่นลมรุนแรงพัดมาได้ไกล แต่ไม่สูงมาก ต่อมาก็เป็นที่ๆชอบที่สุด เมืองฮอยอัน มรดกโลกทางวัฒนธรรมที่ผสมผสานความเป็นจีนญี่ปุ่นและเวียดนามจากสามสถานที่ คือ สะพานวัดญี่ปุ่น บ้านเวียดนามโบราณ และวัดจีน เราได้ย้ายมาพักที่ดานังในคืนนั้น ตอนกลางคืนชาวคณะอาจารย์พากันไปเล่นนำ้ทะเล รู้สึกอยากไปอยู่ ต่สุดท้ายคนเขียนก็ได้นั่งเฝ้าห้อง วันที่สาม วันสุดท้ายของการท่องเที่ยว เรานั่งกระเช้าขึ้นยอดเขวบานาฮิล เป็นกระเช้าที่สูงและยาวมี่สุดในเอเชีย นั่กระเช้าข้ามภูเขาและป่าทึบอันอุดมสมบูรณ์ขึ้นไปบนสวนสนุกแฟนตาซีแลนด์ แดนเนรมิตรที่สวยงามที่สุด แมัจะยังสร้างไม่เสร็จแต่ก็มีเครื่องเล่นที่เสร็จแล้วมากมาย ต่อกันที่ตลาดดองบา ตลาดที่เหล่าชาวคณะนักต่อราคาชอบใจ และการลงเรือดูการแสดงชั้นสูงกาเหว แล้วกลับมาพุกที่เมืองเว้ วันที่14 วันสุดท้ายของทัวร์นี้ เราเดินทางกลับเเต่เช้านั่งรถข้ามภูเขาเลากา แม่น้ำทะเลสาปและหมู่บ้านอันสวยงามและสมบูรณ์ เราทุกคนพบว่า ประเทศคอมมิวนิสต์เล็กๆอันน่าอัศจรรย์ที่ดิ้นรนเอาเอกราชจากอเมริกา ประเทศที่ลงทุนมหาศาลจากการท่องเที่ยว และประเทศที่ผู้คนนับถือคนคนหนึ่ง โฮจีมินห์ ผู้ยิ่งใหญ่และรักประเทศนี้ที่สุดจะมีความเจริญและน่าอัศจรรย์ ที่สุด เวลาพี่นะรินเข้าประเทศลาว ความคิดของหลายๆคนก็มีทั้ง อยากกลับบ้าน คิดถึงภาษาไทย คิดถึงคนไทย และคิดถึงชีวิตเก่าๆ พี่เต๋ายังคงรับหน้าที่อยู่ จนรถข้ามด่านมาที่มุกดาหารการรอคอยได้สิ้นสุด ประเทศไทยที่เราจากมา บัดนี้เราได้เข้าสู่อ้อมกอดของแผ่นดินที่รักที่สุด กว่านั้นการเดินทางของเราไม่ได้สิ้นสุด มันเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางอื่นๆ การเล่าสู่เรื่องราวนี้ ให้กับทุกคนเป็นหนึ่งในการเดินทางนั้น หวังว่าบทความนี้คงจะทำให้ทุกคนภูมิใจและตั่งมั่นกับรางวัลที่ได้รับและมันคงจะเป็นประโยชน์กับนุกเรียนทุนรุ่นต่อไป ความเป็นรุนบุกเบิกของทุนครั้งนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด มันจะเป็นวิชาชีวิตที่สอนเราทุกคน ของคุณทุกๆคนที่มีส่วนร่วมในการเกิดโครงการนี้ ขอบคุณ ผอ.และอาจารย์ทุกคน การเดินทางของเราได้สิ้นสุดในวันนั้น เราได้กลับไปยังที่ที่ความอบอุ่นมีอยู่เสมอ บ้านของเราเอง และการเดินทางครั้งสำคัญนี้ก็ได้จบลง แต่มันจะเป็นความทรงจำดีๆที่ทุนการเคียนก้าวหน้ารุ่น1ทุกคนมีด้วยกัน กันตินันท์ วิริยะสวัสดิ์
15.   เป็นการเดินทางอีกครั้งหนึ่งที่สร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก แม้อาจจะนั่งนานไปหน่อย แต่ก็คุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับสถานที่ท่องเที่ยวที่ไปเยือน สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดคงเป็นเคเบิ้ลคาร์หรือกระเช้าลอยฟ้า มันเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากในประเทศไทย ทางเวียดนามสามารถทำได้และทำได้ดีมากๆจนน่าตกใจ ทัศนียภาพก็สวยงาม 
16.   มีความสุขตลอดทั้งสี่วัน แต่การเดินทางค่อนข้างลำบากหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร รุ่นพี่ รุ่นน้องน่ารักทุกคน ดูไม่เรื่องมาก เฮฮาดี อาหาร โรงแรม สถานที่ที่ไปก็สนุก :) อยากให้โรงเรียนจัดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ชอบตอนไปดูสถานที่ต่างๆ ทั้งทะเล อุโมงค์ กระเช้า สวนสนุก พี่ไกด์ลาวและเวียดนามก็น่ารักทั้งสองคน สนุกค่ะ :)
17.   ประทับใจแทบทุกอย่าง ได้เห็นทุกอย่างตามที่คาดหวังไว้ อุโมงค์หลบภัยใต้ดินเห็นแล้วก็ทึ่งและเข้าใจว่าทำไมคนเวียดนามถึงเป็นคนเก่งและสู้ชีวิต สถานที่ที่ไปแล้วสนุกที่สุดคือยอดเขาบานาฮิลล์ บรรยากาศข้างบนเย็นสบายและทิวทัศน์สวยงามมาก ได้นั่งกระเช้าไฟฟ้าผ่านภูเขาหลายลูก ข้างในมีเครื่องเล่นหลากหลาย เห็นแล้วเชื่อว่าใช้งบประมาณมหาศาลซึ่งเขากล้าลงทุนและเชื่อว่าในอนาคตคงเป็นที่ที่สร้างรายได้ได้ดี ที่ประทับใจที่สุดคือเขานำเสนอวัฒนธรรมทั้งในสมัยก่อนและปัจจุบันรวมทั้งชุดประจำชาติ อาหารประจำชาติและอื่นๆเกี่ยวกับประเทศของเขาได้ดีมาก การค้าขายเขาสามารถพูดภาษาไทยได้คล่อง ในขณะที่เราไม่รู้ภาษาของเขาเลย เป็นสิ่งที่เราน่าจะฉุกคิดได้แล้วว่าถ้าเราเปิดอาเซียนเราจะสู้เขาได้หรือไม่ เหมือนกับว่าเขาเตรียมความพร้อมมาแล้วหลายปี และพร้อมที่จะเข้าสู่อาเซียนแล้ว
18.   ประทับใจเป็นอย่างมากทางคณะทัวร์ได้จัดการทุกอย่างเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นที่พัก อาหารมื้อต่างๆ สถานที่ท่องเที่ยวที่มีความน่าสนใจต่อการเยี่ยมชมก็หลับดีครับ
19.   นอนสุดทาง เเต่ถนน ช่วงลาว หนิ โอยๆๆๆ ก็รู้สึกสนุกดีครับ ได้เปิดโลกกว้าง ได้เห็นหลายอย่างได้ฝึกพูดกับคนที่ใช้ภาษาต่างกัน อย่างน้อยก็เพิ่มความกล้าที่จะพูดกับคนอื่น ถึงเเม้จะ พูดได้น้อย ติดๆๆขัดบ้าง แต่ผมรู้สึกดีใจที่คุยกับเขาได้นิดหน่อย แต่โชว์เฟอร์ รถ ผมคุยกันไม่รู้เรื่อง555 นี่โรงเรียนเป็นที่เเรกที่เปิดซิงให้ผมได้ไปต่างประเทศ เพราะว่าไม่เคยไปเลย ขอบคุณมากนะครับ ทีเเรกนึกว่าอาจารย์โกหก พูดเล่นๆ เเต่ได้ไปจริง เสย ภูมิใจครับ เพราะน้อยคนที่จะได้ไป555
20.   ประทับใจสภาพแวดล้อม อากาศ ต้นไม้ แม่น้ำ ภูเขา ในประเทศเวียดนาม ธรรมชาติมากๆ อากาศบริสุทธิ์ไม่ร้อนมากเหมือนที่ประเทศไทย สิ่งแวดล้อมดี สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายๆที่ อาหารสะอาด อร่อย โดยเฉพาะอาหารทะเล ที่พักก็ดีน่าอยู่ หรูหรา ทันสมัย ภาพรวมทั้งหมดก็โอเคค่ะ ชอบมากๆค่ะ
21.   ได้ไปเที่ยวต่างๆทั่วเวียดนาม เวลาเช้ายังอยู่แถวๆเขาแต่พอบ่ายๆมาได้ไปทะเล ได้เจอกับเด็กนักเรียน น่ารักมาก ขึ้นกระเช้าไกลมากๆ อากาศบนกระเช้าอึดอัดนิดหน่อย ไปตลาดดองบาสนุกมากแต่เวลาน่าจะมากกว่านี้ ชอบไปทะเลตอนกลางคืน ไม่ร้อน และสนุก ได้พบคนกอดกันเยอะดี อาหารทุกมื้ออร่อยมาก คุ้มค่ากับการไป โรงแรมที่พักก็หรูกว่าเมืองไทยถึงแม้จะสามดาว ได้รู้จักกับคนต่างๆเพิ่มมากยิ่งขึ้น
22.   วันที่ 11 มีนาคม 2556 - วันนี้เดินทางทั้งวันแต่ว่าก็สนุกสนานที่ได้ไปเวียดนามเพราะได้เจออะไรแปลกใหม่มากหมาย วันที่ 12 มีนาคม 2556 - ได้เยี่ยมชมพระราชวังได๋โหน่ยซึ่งเมื่อก่อนเป็นที่ประทับของกษัตริย์เวียดนามก็รู้สึกว่าสนุกสนานและ ประทับใจในหลายๆเรื่องเลยในวันนี้ วันที่ 13 มีนาคม 2556 - วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยแต่ก็รู้สึกว่าคุ้มที่ได้เดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆมากมายเป็นวันที่เหนื่อยมากวันหนึ่งแต่ก็สนุกสนานไม่แพ้กัน วันที่ 14 มีนาคม 2556 - วันนี้เป็นวันเดินทางกลับจากเวียดนามเป็นวันที่จะได้เดินทางกลัประเทศได้ เป็นวันที่เราจะได้นำความรุ้ต่างๆ ที่ได้จากการมาครั้งนี้ไปใช้ประโยขน์ในการดำเนินชีวิตของเรา
23.   การได้ลงอุโมงค์วินห์ม็อกเพราะเหมือนการผจญภัย การได้ขึ้นกระเช้าที่บานาฮิล การเล่นสวนสนุกที่บานาฮิลที่ดีมากๆแต่ยังไม่เสร็จ การได้ชมความสวยงามของฮานอย การได้ดูวัฒนธรรมชั้นสูงของเวียดนาม การมองเห็นความสวยงามของบ้านเมือง 
24.   มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ที่ประทับใจมากที่สุดคือ พระราชวังดาโหน่ย เพราะเป็นการแสดงความเป็นเวียดนามอย่างแท้จริง และทางคณะทัวร์ได้จัดสรรแต่สิ่งที่ดีๆไม่ว่าจะเป็นที่พัก อาหาร และการเดินทาง
25.   ความสนุกที่อยู่บนรถ ธรรมชาติที่อยู่ในเวียดนาม ไม่ค่อยมีคนตีกัน มีการใช้รถจักรยาน ไม่ค่อยมีรถยนต์ โรงงานหยก ทะเลที่เวียดนาม พระราชวังได๋โหน่ยกับวัดเทียนหมู่ ล่องแม่น้ำหอม การนั่งกระเช้าผ่านภูเขา สวนสนุก มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ที่ประทับใจมากที่สุดคือ พระราชวังดาโหน่ย เพราะเป็นการแสดงความเป็นเวียดนามอย่างแท้จริง และทางคณะทัวร์ได้จัดสรรแต่สิ่งที่ดีๆไม่ว่าจะเป็นที่พัก อาหาร และการเดินทาง
26.   ไปเวียดนามสนุกดี บริการประทับใจมากดูแลทุกอย่างเลย อาหารอร่อยที่พักสวยมากรู้สึกดีใจที่ได้ต่อของถูกที่เวียดนาม 555
27.   ไกด์มีความเอาใจใส่คณะทัวร์เป็นอย่างดีและมีความเป็นกันเองสนุกสนาน สถานที่ท่องเที่ยวมีความน่าสนใจ น่าตื่นเต้น และมีการให้ความรู้จากไกด์ที่นำเที่ยวได้เป็นอย่างดี โรงแรมที่พักผ่อนมีความสะดวกสบายและเหมาะสม อาหารการกินอร่อยและมีบริการที่ดี มีห้องน้ำบริการระหว่างการเดินทางค่อนข้างดี มีความสนุกสนานระหว่างการเดินทาง ได้รับความรู้ที่แปลกใหม่และประสบการณ์ใหม่ๆ
28.   อากาศดีมาก เย็นสบายดี ไปที่ไหนก็มีทะเลมีป่าไม้ ลมพัดตลอด ชอบกฎหมายมาก แรงดี ถึงกลับใส่หมวกกันน็อคในตอนกลางคืนถ้าเป็นประเทศเราคงจะไม่มีคนใส่ บ้านเมืองสะอาดกว่าไทยเยอะ พนักงานในโรงแรมก็ดีถ้าเรียกก็มาทันทีไม่ต้องรอนาน
29.   ประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่มีบรรยากาศสวยงามมากค่ะ มีทะเลหลายจังหวัด มีการพัฒนาประเทศได้รวดเร็วมาก ผู้คนพูดภาษาไทยได้ พูดลาวได้ เเละยังมีภาษาอื่นๆ ทำให้เห็นว่าไทยเรายังด้อยกว่าเเละเสียเปรียบ คนส่วนมากพูดภาษาเพื่อนบ้านกันไม่ได้เลย ทำให้ตระหนักได้ว่าเด็กไทยจะต้องเร่งเรียนรู้เเละพัฒนาตนเองให้ทัดเทียมเพื่อนบ้านโดยเร็ว เพื่อว่าเมื่อเราเปิดเสรีเเล้วจะได้ไม่เสียเปรียบประเทศอื่นๆ
30.   สนุกสนานและได้ความรู้
31.   ประทับใจในเรื่องของอาหารที่สุด เพราะได้กินหลายรสชาติ อร่อยมาก และอีกเรื่องคือเรื่องที่พักที่หรู น่านอนและยังสะดวกสบาย ในเรื่องของสถานที่ชอบสวนสนุกที่สุด เพราะมีเครื่องเล่นมากมายสนุกสนาน

ข้อเสนอแนะในการจัดทำโครงการ

1. ควรมีการประชาสัมพันธ์โครงการเพื่อให้เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจมากกว่านี้
2. ระยะเวลาในการเดินทางจากแต่ละแห่งใช้เวลานานมาก ผมเป็นคนที่เมารถจึงไม่ค่อยมีความสุขขณะเดินเท่าไหร่
3. โครงการนี้เป็นสิ่งที่ดีและเป็นเเรงกระตุ้นให้ขยันได้ดีผมว่าโครงการนี้ควรจัดเป็นโครงการสำคัญในอนาคตต่อไป
4.  ระยะเวลาน้อยไป
5.   โครงการดีครับ จะได้เป็นเเรงกระตุ้นสำหรับคนที่เรียนดีอยู่เเล้ว หรือเเย่ ให้พัฒนาตนเอง ให้ดีขึ้น รางวัลที่ได้รับก็คุ้มค่ากับความลำบากของเรา ไปเเเถวๆๆใกล้บ้านเราหละครับถึงไม่ไกล ไม่เเพง หรือให้ดีเที่ยวไป เเสนอุรา คนกันเอง คุยกันรู้เรื่อง เศรษฐกิจดี หรือเเล้วเเต่อาจารย์จะพิจารณา
6.   ควรมีการเเจ้งข่าวสารเกี่ยวกับหลักฐานการทำสัญญาให้ชัดเจน เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอม(ม.6) สำหรับคนที่บ้านไม่ได้อยู่มหาสารคามอาจจะเดินทางยาก
7.   ควรไปที่อื่นบ้าง
8.   ควรทำโครงการนี้ต่อไปเรื่อยๆเพราะเป็นโครงการที่ดีเเละทำให้นักเรียนมีความพยายามในการเรียนอีกทั้งรู้สึกภูมิใจในตัวเองมากขึ้น
9.   ควรจัดทุกปีเพื่อเป็นรางวัลสำหรับเด็กที่มีการเรียนก้าวหน้าและเด็กที่มีการเรียนเป็นเลิศเพื่อเป็นสิ่งจูงใจในการเรียนอย่างหนึ่งของนักเรียน
10.   ไม่มีจริงๆ
11.   ควรประชาสัมพันธ์โครงการให้น่าสนใจมากขึ้นด้วยการให้นักเรียนที่เคยไปแล้วมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังเพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนคนอื่นๆ มีความแรงบันดาลในการที่จะตั้งใจทำผลการเรียนให้ดีขึ้น
12.   อยากให้เปลี่ยนเป็นนั่งเครื่องบินขอจำนวนวันเพิ่มคะ ฮ่าๆ ^^
13.   ภาพรวมแล้วสนุกมากเลยคะ ก็ขอให้แค่สับเปลี่ยนประเทศที่จะไปในแต่ละปีไม่ให้ซ้ำกัน และขอให้มีโครงการที่ดี ๆ แบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันให้ทุกๆคนได้มีโอกาสรับทุนนี้คะ
14.   ควรหาไกด์ที่พูดเรื่องเกี่ยวกับประเทศนั้นๆที่ไป ที่เขาพูดให้ความรู้เยอะกว่านี้ แต่ครั้งนี้ ไกด์แนะนำสถานที่ไม่ค่อยเยอะคะ อยากได้ความรู้มากกว่านี้จงรักษาโครงการดีๆแบบนี้ไว้เพื่อประโยชน์และความสุขของทุกๆคนสืบไป กันตินันท์ วิริยะสวัสดิ์ ทุนการเรียนก้าวหน้ารุ่น1
15.   ควรจัดให้มีระยะเวลาที่ยาวนานกว่านี้สักนิด
16.   อยากให้จัดแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อนักเรียนจะได้มีแรงผลักดัน 
17.   อยากให้เปลี่ยนจาก นั่งรถบัสเป็นเครื่องบินค่ะ
18.   โครงการดีครับ จะได้เป็นเเรงกระตุ้นสำหรับคนที่เรียนดีอยู่เเล้ว หรือเเย่ ให้พัฒนาตนเอง ให้ดีขึ้น รางวัลที่ได้รับก็คุ้มค่ากับความลำบากของเรา ไปเเเถวใกล้บ้านเราหละครับถึงไม่ไกล ไม่เเพง หรือให้ดีเที่ยวไป เเสนอุรา คนกันเอง คุยกันรู้เรื่อง เศรษฐกิจดี หรือเเล้วเเต่อาจารย์จะพิจารณา
19.   อยากให้มีโครงการแบบนี้ขึ้นมาอีก ให้น้องๆรุ่นต่อๆไปได้มีโอกาสไปหาประสบการณ์ใหม่ๆในต่างประเทศที่เราไม่คุ้นเคย อาจเริ่มจากในกลุ่มประเทศอาเซียนก่อนก็ได้ เป็นโครงการที่ดีมากๆ ได้ความรู้โดยตรง ประสบการณ์โดยตรง อาจจะจริงที่ต้องใช้งประมาณเยอะในการจัดโครงการ แต่ผลที่ได้รับมันก็คุ้มค่า อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้เด็กตั้งใจเรียน เพราะอยากได้ทุนเพื่อที่จะมีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศเหมือนพวกหนูในครั้งนี้ อยากให้จัดขึ้นอีกทุกปีค่ะ
20.   เวลาเดินตลาดน่าจะให้มากกว่านี้
21.    ไปที่ๆมีทะเลแต่ไม่ได้เล่นทะเลเลย ทำให้รู้สึกว่าเสียดาย
22.   รักษาคุณค่าของโครงการนี้ไว้ สืบไป
23.   -ไม่มีคับ-
24.   อยากให้มีโครงการดีๆอย่างนี้อีกไปเรื่อยๆเพื่อเป็นความหวังให้กับคนที่พัฒนาและเป็นกำไรสำหรับคนที่ตั้งใจเรียนมาตลอด
25.   ควรเพิ่มระยะเวลาการเดินทางมากขึ้น การศึกษาวัฒนธรรมในประเทศนั้นยังได้รับความรู้เพียงน้อยนิด ควรย่นระยะเวลาการเดินทางให้มากกว่านี้
26.   โรงแรมก็น่าจะมีอาหารเยอะกว่านี้ บางห้องล็อกห้องน้ำไม่ได้ อาหารซ้ำกันหลายมื้อทำให้เบื่อ 
27.   อยากให้พาไปดูสถานศึกษา โรงเรียนต่างๆด้วยค่ะ อยากเห็นว่าเค้าเรียนกันอย่างไร ต่างจากบ้านเรามากน้อยเเค่ไหน เพื่อที่จะเป็นกระจกสะท้อนตัวเราเองว่าระบบการศึกษาของเราดีพอรึยัง ต้องปรับอะไร เพื่อให้ผลิตทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพมากขึ้นออกสู่สังคม
28.   ได้อยากขึ้นเครื่องบิน

ทางฝ่ายแผนและประกันคุณภาพของขอพระคุณผู้บริหาร คณาจารย์และนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการนี้ และหวังว่าจะมีโครงการแบบนี้ในปีการศึกษาถัดไป


รายละเอียดทั้งหมดในการเดินทาง

Wednesday, February 27, 2013

เยี่ยมชมสาธิตพัฒนา-TKPark


รายงานผลการศึกษาดูงาน
โรงเรียนสาธิตพัฒนา แขวงคลองสามวาตะวันออก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร
และ สำนักงานอุทยานการเรียนรู้  TK Park เขตปทุมวัน  อาคารเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร
21-22 กุมภาพันธ์ 2556

* นายสัจจพงษ์  ญาตินิยม

งานจัดการความรู้ ฝ่ายแผนและประกันคุณภาพ ได้นำคณาจารย์และบุคลากร จำนวน 30 คน เข้าศึกษาดูงาน ตามโครงการศึกษาดูงานโรงเรียนต้นแบบ โดยในปีนี้ งานจัดการความรู้ ได้ตั้งเป้าหมายในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากโรงเรียนสาธิตพัฒนา แขวงคลองสามวาตะวันอก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร เพื่อวัตถุประสงค์ในการเปิดโลกทัศน์และแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีปฏิบัติของโรงเรียนสามารถนำความรู้กลับมาใช้เป็นแรงบันดาลใจ พัฒนานักเรียนของโรงเรียนเราต่อไป และที่สถานที่หนึ่งคือ สำนักงานอุทยานการเรียนรู้  เขตปทุมวัน  อาคารเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร   หรือชื่อที่เราคุ้นชินคือ TK PARK ซึ่งเป็นห้องสมุดมีชีวิต ในห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ จุดประสงค์เพื่อนำมาปรับใช้กับห้องสมุดโรงเรียนของเราซึ่งรายละเอียดจะสรุปเป็นสถานที่ตามวันดังนี้

21 กุมภาพันธ์ 2556
          โรงเรียนสาธิตพัฒนาก่อตั้งขึ้นในปี 2549 เป็นโรงเรียนเอกชน เกิดขึ้นจากความร่วมมือของคณะคุรุศาสตร์จุฬาลงกรณ์ กับมูลนิธินวัตกรรมการศึกษา โดยจัดการศึกษาตามแนวสาธิตจุฬา แต่ให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษมากโดยเพิ่มเติมให้  ปัจจุบันอยู่ในการบริหารของบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน)
          ทางด้านวิชาการ บริหารวิชาการโดยคณาจารย์เกษียณจากสาธิตจุฬาฯ จำนวนหนึ่งเป็ยคณะกรรมการบริหาร และทำการสอนในบางรายวิชา และพัฒนาบุคลากรใหม่อีก ปัจจุบันมี ครูทั้งสิ้น 132 คน ฝ่ายสนับสนุนอีก 48 คน บริหารจัดการนักเรียนทั้งสิ้น 1,108 คน ตั้งแต่ระดับอนุบาล ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 6 จุดเด่นที่สำคัญคือ การนำหลักสูตร 4F มาใช้จัดการเรียนการสอน แนวคิดของหลักสูตร 4F คือ FUN คือเน้นให้นักเรียนรักที่จะมาโรงเรียน FIND นักเรียนค้นหาความสามารถ ความถนัดและความสนใจที่ตนเองมี จากไปก็ไป FOCUS เลือกในสิ่งที่ตนถนัดอย่างเจาะลึก และท้ายสุด FULFILLMENT นักเรียนจะเลือกเรียนในสิ่งที่เป็นไปตามเป้าหมายของผู้เรียนที่ได้ตั้งไว้ โดยโรงเรียนจะเตรียมความพร้อมด้านครูที่มีความชำนาญเฉพาะด้านในการเติมเต็มให้นักเรียนในรายวิชาที่นักเรียนมุ่งหวัง  เรียกโปรแกรมสุดท้ายนี้ว่า โปรแกรมเจียระไนรายบุคคล หรือหลักสูตรม.ปลาย รายบุคคล
          ทางด้านบริหารบุคคล โรงเรียนมีการพัฒนาทรัพยากรบุคคลอย่างต่อเนื่อง เน้นการปลูกฝังความเป็นครูผ่านตัวบุคคล รุ่นต่อรุ่น สอนครูรุ่นใหม่ให้เข้าในบทบาทการเป็นครูที่ดีผ่านการซึมซับจากต้นแบบ (คือ อาจารย์เก่า ๆ อาจารย์รุ่นพี่) ทำความเข้าใจก่อนเข้ามาเป็นครูที่นี่ เน้นให้ครูใหม่เกิดความภาคภูมิในในความเป็นครูและทำการสอนให้ดีที่สุด ไม่ให้ใครดูถูก รักและหวงแหนในวิชาชีพและจริงใจ มุ่งมั่นในการสอน จัดการอบรมเชิงรุก จุดประกาย ยุยง ส่งเสริม โดยมุ่งเป้าหมายเดียวกันคือสอนให้เก่ง พัฒนาตนเองตลอดเวลา ทำวิจัยระดับห้องและทุกระดับชั้น ออกข้อสอบให้เป็น โดยอบรมเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการคิดเชิงบวก ทั้งผู้อำนวยการและครูในโรงเรียน จะถูกปลูกฝังให้คิด เชิงบวก เพื่อลดความเครียดจากงานและสร้างกำลังใจในการทำงานได้อีกทางหนึ่ง ส่วนในเรื่องค่าครองชีพหรือเงินเดือน โรงเรียนสาธิตพัฒนา ให้เงินเดือนระดับ ปริญญาตรี เริ่มที่ 18,000 บาท บวกค่าเดินทาง อีก 3,000 บาท หากใครอยู่หอพักก็หักค่าเดินทางออก 1,000 บาท โดยภาพรวมก็น่าจะเป็นที่พึงพอใจของคณาจารย์ ที่สังเกตอีกประการหนึ่งคือโรงเรียนการจ้าง Out Source ในการจัดการเรียนการสอนนอกเหนือจากห้องเรียนปกติ เช่นวิชาพละศึกษา วิชาการ วิชาดนตรี โดยให้นักเรียนได้เรียนในสิ่งที่ตนถนัดนอกเหนือจากที่ได้รับจากครูประจำ
          กิจกรรมเสริมหลักสูตรของทางโรงเรียนมีหลากหลาย มีการทัศนศึกษาในแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ซึ่งมีมากในกรุงเทพฯ มีการปลูกข้าว ปลูกผักสวนครัวเพื่อให้นักเรียนได้เห็นของจริง ซึ่งน่าสนใจมาก
          สรุปในภาพรวมถือว่าโรงเรียนมีแนวทางบริหารจัดการศึกษาที่ดี พัฒนาต่อยอดจากสาธิตจุฬา และการไปดูงานครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่า เหมือนไปดูทั้งสาธิตพัฒนาและสาธิตจุฬาในคราเดียวกัน และทั้งหมดทั้งมวลขับเคลื่อนได้อย่างรวดเร็วเพราะมีความพร้อมทั้งอาคารสถานที่ และทรัพยากรทางการเงิน ค่าเทอมโดยเฉลี่ยปีละ 100,000 บาท ต่อคนต่อปี ซึ่งก็สูงพอสมควรตามค่าครองชีพของชาวเมืองหลวง

22 กุมภาพันธ์ 2556
          อุทยานการเรียนรู้ TK Park เป็นองค์กรมหาชนภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ สำนักนายกรัฐมนตรี จัดตั้งตามนโยบายของรัฐบาลมรปี พ.ศ. 2548 โดยมีพันธกิจ ในการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านและการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ตลอดชีวิตของเยาวชนและประชาชน เพื่อสร้างสรรค์สังคมฐานความรู้ที่ประชาชนสามารถก้าวทันโลก (แผ่นพับแนะนำ : หน้าที่ 1)
          โดยภาพรวมแล้ว อุทยานการเรียนรู้ TK Park มีการจัดโซนออกเป็น 12 โซน ดังนี้ 1 ห้องสมุดมีชีวิต มีหนังสือมากมายทั้งภาษาไทยและต่างประเทศ ไม่เน้นหนังสืออ้างอิง หนังสือจึงมีความหลากหลายไม่น่าเบื่อ นอกจากนี้ยังมีสื่อการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นเอง เช่น หนังสือโบราณผ่านโปรแกรมทัชสกรีน โซนที่ 2 มายด์รูม เป็นห้องที่มีหนังสือกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ตามแนวทาง เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เช่น สถาปัตยกรรม ศิลปกรรมแสดงเป็นต้น โซนที่ 3 ห้องเด็ก เป็นห้องสมุดที่เหมือนกับห้องเด็กเล่น มีสระอ่านหนังสือ คือเด็กสามารถนอนอ่านแบบสบาย ๆ (โดยเข้าใจว่าสาธิตพัฒนานำแนวคิดนี้ไปประยุกต์กับห้องสมุดของโรงเรียน) โซนที่ 4 ห้องเงียบ คือมุมที่ใช้สมาธิสูงในการอ่าน และการค้นคว้าหาข้อมูล  โซนที่ 5 มุมกาแฟ H&C คือ มุมบริการเครื่องดื่มและอาหารว่าง มุมนี้บุคลากรงานห้องสมุดให้ความสนใจสูงและพร้อมจะดำเนินการทันทีหลังกลับมาจากดูงาน โซนที่ 6 ห้องสมุดดนตรี มุมนี้มีสื่อสร้างสรรค์ทางดนตรีให้ได้เล่นได้ฟัง มีเปียโน หนังสือ เกี่ยวกับดนตรีที่น่าสนใจมาก โซนที่ 7 ห้องสมุดไอที เป็นพื้นที่ส่งเสริมทักษะทางด้านไอที มีหนังสือและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้บริการ โซนที่ 8 ศูนย์การเรียนรู้อเนกประสงค์ โซนนี้น่าสนใจมาก เป็นห้องโล่ง หลุมกลาง สามารถจัดการเรียนรู้เชิงสาระบันเทิงได้ (Edutainment) อาทิ เล่นละครเวที มินิคอนเสริต เป็นต้น โซนที่ 9 ลานสานฝัน เป็นพื้นที่เปิดกว้างให้กับทุกวัยในการนำเสนอความคิด กิจกรรมสร้างสรรค์ โดยทุก ๆ เดือน ทาง TK Park จะใช้ลานนี้จัดกิจกรรมเป็นตัวขับเคลื่อน จะมี ธีมงานต่อเดือน เช่น เดือนนี้จะเป็นนิสิตเกี่ยวกับดนตรีก็จัดเสวนาด้านดนตรี เป้นต้น โซนที่ 10 ห้องฉายภาพยนตร์ เอาไว้ฉายหนัง โซนที่ 11 ศูนย์อบรมไอที และโซนที่ 12 ห้องบันทึกเสียง
          จากข้อมูลข้างต้นก็น่าสนใจแล้วอยากจะมี TK Park  ใกล้ ๆ บ้านเลยทีเดียว แต่คงหมดโอกาสเพราะมหาสารคาม ตัดสินใจทำ Mk Park แล้ว แต่เราคงต้องกลับมาพัฒนาห้องสมุดของเรา โดยอาศัยความร่วมมือกับทาง TK Park ซึ่งเขามีหน่วยงานให้คำปรึกษาและเข้ามาร่วมพัฒนาห้องสมุดในโรงเรียนต่าง ๆ ให้เป็นห้องสมุดมีชีวิต โดยมีข้อแม้ 4 ข้อสำคัญ คือ คนพร้อม สถานที่พร้อม เงินพร้อม และนโยบายชัดเจน ก็สามารถเริ่มงานได้เลย




Sunday, October 14, 2012

ผมไป EDUCA 2012 มา


รายงานผลการศึกษาเข้าฟังบรรยายพิเศษ ในงาน EDUCA 2012 
ณ อิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี
9-11 ตุลาคม 2555
   *สัจจพงษ์  ญาตินิยม 
Educa 2012 : The 5th Annual Congress for Teacher Professional Development หรืองานมหกรรมทางการศึกษาเพื่อพัฒนาวิชาชีพครู ครั้งที่ 5 เป็นงานแสดงสินค้าและการประชุมสำหรับกลุ่มผู้บริหารทางการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ตลอดจนครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยมีการนำเสนอแนวคิด นวัตกรรมและองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้กับครูเพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ เช่น International Conference Workshop Trade Exhibition โดยข้าพเจ้าได้เข้าร่วม Workshop 2 กิจกรรมดังนี้



วันที่ 10 ตุลาคม 2555

ฟังบรรยาย หัวข้อ แท็บเล็ตกับการเรียนการสอนแบบ win - win situation - ผู้เรียนสนุก ผู้สอนได้ประโยชน์ โดยผู้เชี่ยวชาญ ของ ipad
ประเด็นสำคัญของหัวข้อบรรยายนี้คือ ผู้เชี่ยวชาญได้เน้นถึงประโยชน์ของเครื่องมือที่เรียกว่า ipad แท็บเล็ตของ Apple ซึ่งมีเครื่องมือที่เรียกว่า Application ต่าง ๆ ให้ดาว์นโหลด  และนำมาจัดการเรียนการสอนได้ พร้อมทั้งนำเสนอตัวอย่าง Application 10 ตัวอย่างให้เลือกใช้ทั้งฟรีและไม่ฟรี ซึ่งของไม่ฟรีก็ซื้อในราคาย่อยเยาว์ เช่น App ที่สามารถล็อคหน้าจอ Ipad ของเด็ก ๆ ให้สนใจเฉพาะบทเรียนที่เรากำหนดให้อ่านได้ มันสามารถตรวจสอบว่าอยู่ในหน้านั้นหรือไม่ หรือ App ที่สามารถใช้ส่งสัญญาณภาพจาก Ipad ไปยังเครื่องโปรเจคเตอร์ ได้โดยสัญญาณ บูทูต ได้เป็นต้น
สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญให้ความสำคัญประการหนึ่งและข้าพเจ้าค่อนข้างเห็นด้วยคือ การสอนให้นักเรียนนำความรู้มาสร้างเป็นเครื่องมือ หรือ App ให้คนอื่นเข้าถึงความรู้ เล่าง่าย ๆ คือ ให้นักเรียนทำ Application ให้เป็น นักเรียนได้เรียนรู้การทำ App และทำความเข้าใจเนื้อหาที่เรากำหนดให้ทำไปพร้อมกัน ผลประโยชน์ทางอ้อมที่อาจได้กลับคืนมาคือ ถ้า App นั้น ขายได้  สมมติว่าดาว์นโหลดครั้งละ 30 บาท คนที่ใช้เครื่อง ipad หรือ iphone ในโลกมีอยู่ประมาณ ร้อยล้านเครื่อง แต่เขาอาจจะดาว์นโหลดให้เราแต่ 1 ล้านเครื่อง เราก็รับทรัพย์ 30 ล้าน ก็อยู่ได้สบายแล้ว ... นั่นคือสิ่งที่น่าปรับใช้กับนักเรียนของเรา



วันที่ 11 ตุลาคม 2555
ฟังบรรยาย หัวข้อ สอนเขียนแผนบูรณาการบนฐานเด็กเป็นสำคัญ : ทักษะการคิด อยู่อย่างพอเพียง และประชาคมอาเซียน โดย คณาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประเด็นแรก ความสำคัญของการวางแผนการสอน โดยวิทยากรฉายภาพวิวัฒนาการของสังคมเริ่มจากสังคมอุตสาหกรรมเข้าสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ ซึ่งเรากำลังดำเนินอยู่ และกำลังสู่สังคมใหม่นั่นคือสังคมแห่งการแบ่งปัน ซึ่งมีคุณค่ามากและต้องเร่งปลูกฝังความคิดนี้กับนักเรียนเพราะจำเป็นต่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 นอกจากนี้แล้ววิทยากรยังกล่าวถึงวัฒนธรรม 4 ประเภท คือวัฒนธรรมท้องถิ่น วัฒนธรรมชาติ วัฒนธรรมอาเซียน และวัฒนธรรมโลก ซึ่งเป็นปัจจัยในการนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับนักเรียนในฐานะพลเมืองของโลก การเติมทักษะทางวัฒนธรรมอย่างครอบคลุมจะส่งผลไปยังผู้เรียนที่ดำรงคงอยู่อย่างเข้าใจ เข้าถึงพลวัตของโลกยุคสังคมแห่งการแบ่งปันมากยิ่งขึ้น
   
ประเด็นต่อมารูปแบบการเขียนแผนทุกขั้นตอน การเขียนแผน ก็คือการเตรียมกรอบการสอนให้รัดกุมและทุกขั้นตอนจะมีความหมายวัดผลได้ตามหลัก 6 ข้อ ของบลูม ได้แก่ รู้จำ  เข้าใจ นำไปใช้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า และต้องนำเอาคุณลักษณะอันพึงประสงค์แทรกลงไปในแผน พูดอย่างง่ายคือ นำ K P A ความรู้ ทักษะ จิตพิสัย ใส่ไปตั้งแต่วัตถุประสงค์จนไปถึงวัดผลให้ได้
สุดท้ายคือทักษะเฉพาะในการสอนคนทีละพันคน ของอาจารย์วิทยากรที่ตรึงให้ต้องตื่นตัวและเรียนรู้แบบไม่เบื่อตลาดครึ่งวัน มุกเกี่ยวกับ เป็นครูต้องดูดี เช่น นิ้วที่ใส่แหวนและทาเล็บสีสวยจะดูดีกว่านิ้วที่ไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นต้น
นอกเหนือจากนี้แล้วข้าพเจ้ายังได้ใช้เวลา่ว่างไปทัศนศึกษาที่เกาะเกร็ด และได้เกร็ดใหม่ ๆ หรือความรู้ใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกกับข้าวแช่ หรือข้ามฟาก 2 บาทไปเกาะเกร็ด เครื่องปั้นกินเผาสุดวิจิตร เป็นต้น ภาพรวมทริปการศึกษาดูงานครั้งนี้คุ้มค่ากับการลงทุนครับ

        
  

Sunday, August 26, 2012

gogoland ไปนครปฐมและลพบุรีมา ...


รายงานผลการศึกษาดูงานโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสน จ.นครปฐม               (โครงการ วมว) และการศึกษาดูงาน โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย ศูนย์อาเซียนศึกษา                                          จ.ลพบุรี 21-22 สิงหาคม 2555
*สัจจพงษ์  ญาตินิยม

วันอังคาร ที่ 21 สิงหาคม 2555

            สืบเนื่องจาก มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2555 ได้เห็นชอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดำเนินโครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) ระยะที่ 2 ระยะเวลา 10 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 - 2565) โดยมีเป้าหมายรวม 174 ห้องเรียน เพื่อสนับสนุนนักเรียนรวมทั้งสิ้น 5,220 คน กรอบวงเงินงบประมาณของโครงการ วมว. ตลอดโครงการเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 3,227 ล้านบาท และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) ของเราก็ได้รับการยืนยันจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ให้ดำเนินการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน เริ่มในปีการศึกษา 2556 นี้ เราจึงต้องไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง
1.      ประเด็นที่ได้รับจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสน คือ เราต้องรู้จุดเด่น จุดเน้นของเรา และเอาจุดเด่นจุดเน้น มาเป็นจุดขายของโครงการในส่วนภูมิภาค เพราะเรามีคู่แข่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือถึง 3 ห้องเรียน และเก่าแก่กว่าเราแทบทั้งสิ้น
2.      การปลูกฝังความเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่รักการค้นคว้าทดลอง ตัวอาจารย์ผู้สอนเองต้องมีบุคลิกภาพอย่างนั้นก่อน เด็กจึงจะศรัทธาและนำอาจารย์มาเป็นต้นแบบได้
3.      หลักการบริหารโครงการที่ดีต้องประสานงานอย่างจริงใจ ไม่เกี่ยงงาน และผู้บริหารสูงสุดต้องรู้เห็นเป็นใจกับเรา เพื่อที่จะประสานทรัพยากรที่เราจำเป็นต้องใช้จากคณะอื่น ๆในมหาวิทยาลัย หรือส่งต่อนักเรียนเข้าสู่คณะวิทยาศาสตร์ หรือคณะที่เกี่ยวข้องได้ด้วย
4.      ผู้ประสานงานต้องลดทิฐิ อัตตา เพื่อว่าเราจะมุ่งหน้าสู่เป้าหมายไปพร้อมกัน
5.      การประชาสัมพันธ์ทั้งภายในองค์กรและต่อสาธารณชน ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก ต้องมีการแถลงข่าวชัดเจน และการสร้างข่าวสารเชิงบวกเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
6.      การดูแลนักเรียนมีหลักการที่ดี คือ ดูแลนักเรียนแบบใกล้ชิดเมื่อพบปัญหาทั้งการเรียนและเรื่องส่วนตัวก็ไม่ละทิ้ง เข้าไปจัดการตรงปัญหาทันที การแก้ปัญหาจึงไม่เหมือนการหว่านแห แก้ไปทุกอย่างแต่ไม่ตรงปัญหาสักที
ด้วยศักยภาพที่เราเห็นทั้งภาพการร่วมแรงร่วมใจ และหลักในการทำงานชัดเจน โครงการ วมว.ของ
โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสน จึงโดดเด่นเป็นที่จับตามองและถูกยกย่องให้เป็นโครงการ วมว.อันดับต้น ๆ ของประเทศอย่างไม่ต้องสงสัย ในฐานะผู้ศึกษาดูงาน ข้อมูลเหล่านี้โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) ของเราควรมีการรวบรวมและประชุมทำแผนการดำเนินงานให้ชัดเจนโดยยึดหลักที่ดีบางอย่างของกำแพงแสน บวกหลักที่เยี่ยมยอดของสาธิต สารคามเราเข้าไปด้วยกันจะสมบูรณ์แบบมาก
  
วันพุธที่ 22 สิงหาคม 2555

อาเซียน  หรือสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  (Association of Southeast Asian Nations หรือ ASEAN) ได้ถูกก่อตั้งขึ้นภาใต้ปฏิญญากรุงเทพ (The Bangkok Declaration) เมื่อวันที่ 8สิงหาคม 2510 โดยมีสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ในเวลาต่อมาได้มีประเทศต่างๆ สมัครเข้าเป็นสมาชิกเพิ่มเติม ได้แก่ บรูไน เวียดนาม ลาว พม่า และกังพูชา ตามลำดับทำให้อาเซียนมีสมาชิกรวมทั้งหมด 10 ประเทศ โดยยึด 3 เสาหลัก คือ
 1.ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน  
 2.ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน  
 3.ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน

Sathit Mahasarakham@Pibul School 2012 on PhotoPeach  

จากการศึกษาดูงานศูนย์อาเซียนศึกษา ของโรงเรียนพิบูลวิทยาลัย พบว่า

1.      โรงเรียนเราไม่จำเป็นต้องมีศูนย์อาเซียน เพราะ
1.1  ศูนย์อาเซียนเป็นนโยบายของ สพฐ. มี 54 โรงเรียนทั่วประเทศ (Sister School จำนวน
30 โรง Buffer School  จำนวน 24 โรง ) ใกล้ที่สุดอยู่โรงเรียนกัลยาณวัตรขอนแก่น ที่จังหวัดมหาสารคาม ของ สอศ. มีศูนย์อาเซียนศึกษาที่วิทยาลัยเทคนิคมหาสารคาม เปิดศูนย์เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 55 นี้เอง
1.2  จากการที่เป็นนโยบายจึงมีงบประมาณส่วนหนึ่งมาสนันสนุน และศักยภาพในการระดม
ทุนของโรงเรียนประจำจังหวัดจะมีมากกว่าโรงเรียนสาธิตแน่นอน
                        1.3 การสร้างศูนย์มีภาระตามมา เช่น การจัดการบุคลากร ภาระงานสอน ภาระงานตามแผนงานประจำปี และจะส่งผลถึงจุดเน้นของโรงเรียนกับโครงการที่จำเป็นกว่า (วมว.)

            2. โรงเรียนเราควรดำเนินการดังนี้
2.1 ควรเชื่อมเนื้อหาอาเซียนแทรกในบทเรียนเป็นหลัก รับผิดชอบโดยกลุ่มสาระฯ ในการ
จัดทำแผนการสอนรายบุคคล แผนปฏิบัติงานประจำปีของกลุ่มสาระ หรืออื่น ๆ ที่มีเนื้อหาอาเซียนสอดแทรก โดยฝ่ายวิชาการ กำกับดูแลเป็นหลัก
                              2.2 มุมอาเซียนในห้องสมุดเป็นสิ่งจำเป็นมาก  มี หนังสือ และแผ่นพับ  แหล่งสืบค้นทางอินเตอร์เน็ต ตุ๊กตาชุดประจำชาติ สื่อวีดิทัศน์   เอกสารข้อมูลสืบค้น สัญลักษณ์ที่สื่อถึงวัฒนธรรมของชาติต่างๆ อาทิ ภาพแขวน และงานหัตถกรรมต่างๆ ไว้มุมใดมุมหนึ่งของห้องสมุด
                        2.3 กลุ่มสาระต่าง ๆ ควรมีจุดเน้นเฉพาะเพิ่มอีกเพื่อเป็นจุดขาย เช่น กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ ดำเนินการด้านหลักสูตรภาษาอาเซียน ห้องเรียนเฉพาะทางด้านภาษาบส เทศกาลอาเซียน เป็นต้น หรือกลุ่มสาระสังคมฯ อาจจัดกิจกรรม ค่ายวิชาการ ชุมนุม ที่เน้นให้ความรู้เกี่ยวกับ 3 เสาหลักอาเซียน เป็นต้น
                        2.4 หลักสำคัญคือทำทุกอย่างร่วมกัน หรือแบ่งงานตามนโยบายให้ทำเท่า ๆ กันทุกกลุ่มไม่ให้หนักที่ใครหรือกลุ่มสาระใดสาระหนึ่ง ทำให้เนียนกับสิ่งที่เราทำมาแล้ว จะไม่เกิดภาพของงานที่ซ้อนทับ หรือ งอกงานใหม่มากเรื่อย ๆ จนบดบังจุดเน้นของตัวเอง

gogoland อยู่เกาหลี

Tuesday, November 9, 2010

gogoland ไป ทัศนศึกษาจีน

รายงานผลการเดินทางไปราชการ เมืองหนานหนิง เป๋ยไฮ่ และ กุ้ยหลิน
ระหว่างวันที่ 17 – 24 ตุลาคม 2553
โดย นายสัจจพงษ์ ญาตินิยม

17 ตุลาคม 2553
เริ่มต้น 07.30 น. ข้าพเจ้าดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยรถโดยสารนั่งส่วนบุคคล พร้อมคณะเดินทางจำนวน 16 คน ประกอบ ผู้อำนวยการ ผู้จัดการ รองผู้อำนวยการ และศึกษานิเทศก์ จาก จังหวัดร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ และมหาสารคาม โดยมีนางสาว จีลี่ลี่ อาจารย์จากสถาบันขงจื้อ เป็นผู้นำคณะไปเมืองหนานหนิง เครื่องบินของสายการบินไทย ออกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลา 10 .00 น. ถึงสนามบินนานาชาติ เมืองคุณหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที และคณะได้รอเครื่องเพื่อต่อไปสนามบินนานาชาติเมืองหนานหนิง อุณหภูมิที่เมืองคุณหมิง 20 องศาเซลเซียส ลักษณะของสนามบินค่อนข้างเก่า การบริการไม่ดีนัก ห้องน้ำไม่สะอาด กลิ่นบุหรี่อบอวลทั่วห้องรอขึ้นเครื่อง แต่มีสัญญาณไวเลตให้บริการ คณะรับประทานอาหารเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโดยใช้น้ำร้อนที่ทางสนามบินเตรียมไว้ ใช้เวลาในการรอประมาณ 4 ชั่วโมง คณะได้เดินทางต่อโดยสายการบิน China Eastern ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ถึงสนามบินหนานหนิง คณะใช้เวลาเดินทางเข้าตัวเมืองหนามหนิง 30 นาที ระหว่างทางเข้าเมืองมีการตกแต่งด้วยต้นไม้สวยงาม เพราะมีงาน อาเซียนเอ็กโปร ซึ่งจัดขึ้นทุกปีที่เมืองหนานหนิง รับประทานอาหารค่ำที่ภัตราคารก่อนเข้าพักที่ ซินหัวไทม์โฮเทล เมื่อเวลา 21.00 น.


18 ตุลาคม 2553
เริ่มเวลา 09..00 น. คณะ ได้เดินทางเข้าเยี่ยมชม โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยชนชาติกว่างสี ระดับมัธยมศึกษา โดยโรงเรียนมีนักเรียนทั้งหมดมี 800 คน ส่วนใหญ่เป็นบุตรบุคลากรของมหาวิทยาลัย และชนชาติพื้นเมืองได้แก่ชาวจ้วง และอื่น ๆ ซึ่งเป็นเขตยากจน จำนวน ร้อยกว่าคน อาจารย์ประจำ 60 คน สถานที่ของโรงเรียน ใช้อาคารเก่าของมหาวิทยาลัยในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งในปีหน้าอาคารหลังใหม่จะสร้างเสร็จ วิธีการจัดการเรียนการสอน ใช้วิธีการสอนจากยุโรปและสหัฐอเมริกา มีครูภาษาต่างประเทศจากอเมริกามาทำการสอนทุกปิดภาคเรียน โดยโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยกว่างสี พยายามจะเน้นการแลกเปลี่ยนนักเรียนในเอเชีย เช่น ไทย เวียดนาม ซึ่งในตอนนี้ก็มีนักเรียนแลกเปลี่ยนกับไทยอยู่
ด้านรายได้จากการจัดการเรียนการสอน มัธยมศึกษาตอนต้น เรียนฟรี ส่วนมัธยมศึกษาตอนปลาย จ่ายเงินเรียน นักเรียนอยู่หอพัก ชำระค่าเล่าเรียนประมาณปีละ 75,000 บาท โดยภาพรวมของโรงเรียนยังไม่มีชื่อเสียงนักในหนานหนิงแต่บุคลากรที่นี่มีความตั้งใจในการจัดการเรียนการสอนและเชื่อว่าเราอาจได้ร่วมมือกันในอนาคต

เวลา 11.00 น. คณะได้เข้าร่วมพิธีเปิด”โครงการนำผู้บริหารโรงเรียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยศึกษาดูงานด้านภาษาและวัฒนธรรมจีน” โดยรองอธิการบดี หลี่ เซ็น ถัง ซึ่งได้แนะนำมหาวิทยาลัยชนชาติกว่างซี หลักสูตรที่เปิด ตั้งแต่อนุบาล ถึงปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมีความเป็นสากล มีสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัย งานวิจัยด้ารวัฒนธรรม เศรษฐกิจและสังคมเกี่ยวกับชนชาติส่วนน้อยก็มีมากโดยเฉพาะงานวิจัยด้านภาษาของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมหาวิทยาลัยเปิดสอนอยู่ 9 ภาษา เช่น ไทย เวียดนาม พม่า กัมพูชา มาเลเซีย เป้นต้น มหาวิทยาลัยมีนิสิตต่างชาติ 2,000 กว่าคน ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีนิสิตต่างชาติมากที่สุด ท้ายสุดรองอธิการบดีก็ขอให้ทางคณะได้นำเรื่องราวในการทัศนศึกษาที่ประเทศจีนไปเผยแพร่ในวงกว้างต่อไป จากนั้น คณะได้ไปรับประทานอาหารเที่ยงที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย ซึ่งดำเนินการโดยเอกจนลักษณะภัตราคาร
เวลา 13.00 น. คณะเดินทางได้เยี่ยมชมกิจการของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยกว่างสี (ฝ่ายประถม) รายละเอียดของโรงเรียนประถม มีนักเรียน 500 คน เป็นบุตรบุคลากร ครึ่งหนึ่ง ครูประจำการ 35 คน มีนักเรียน 200 คนอาศัยในหอพักนักเรียน ส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อย การจัดการเรียนการสอน เน้นให้ผู้เรียนแข่งขันกับตัวเอง และดูเคร่งครัดในการจัดการเรียนการสอนมาก ผู้เรียนถูกคัดเกรดเป็นห้อง ตั้งแต่ เกรด เอ ถึง ดี จัดการเรียนการสอนตามลักษณะของผู้เรียน โรงเรียนได้จัดการแสดงพิเศษคือการเล่นพินพร้อมขับร้องโดยนักเรียน ป. 6 ซึ่งสะท้อนถึงถึงความสามารถของนักเรียนได้ดี โดยในภาพรวมและการสัมภาษณ์โรงเรียนประถมจะมีคุณภาพ และชื่อเสียงดีกว่า โรงเรียนมัธยม
หลังรับประทานอาหารเย็น คณะได้เข้าชมห้างสรรพสินค้าและเมืองหนานหนิงยามราตรี ก่อนกลับเข้าที่พักที่ ซินหัวไทม์โฮเทล เวลา 20 .00 น.

การบรรยายพิเศษของ ศาตราจารย์ ฟ่าง ขง กุ้ย มหาวิทยาลัยชนชาติกว่างสี
เรื่อง รากเหง้าเดียวกันระหว่างไทยกับจ้วง
อังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 08.30 – 12.00 น. ณ ห้องประชุม ศูนย์นักศึกษานานาชาติ มหาวิทยาลัยชนชาติกว่างสี เมืองหนานหนิง มณฑลกว่างสี ประเทศจีน

*สัจจพงษ์ ญาตินิยม
-------------------------------

ศาสตราจารย์ฟ่าง ขง กุ้ย มีประสบการณ์สูง ได้รับเชิญให้ไปบรรยายหลายประเทศรวมทั้งไทย ประเด็นที่สำเสนอในวันนี้คือ ความสัมพันธ์ระหว่างจ้วงสิบสามชนชาติกับภาษาไทย ตัวอย่าง คำว่า ไฟ มาจาก ภาษาจ้วง ไม่ได้ยืมจากภาษาอังกฤษ คำว่า เมล็ดพันธุ์ มาจาก ภาษาจ้วงที่กว่างสี ไม่ไดยืมจากภาษาบาลี คำว่าเปลือกของหน่อไม้ ผลไม้ มะไฟ จ้วงเรียกมะไฟ เหมือนกัน ไม่มีน้ำดำนา ภาษาจ้วง คำว่าน้ำ เป็นสระเสียงสั้น ไทย เสียงยาว เคยเอาคำภาษาจ้วงแปดร้อยคำมาวิจัยพบว่า เหมือนกัน น่าจะมีจากรากเดียวกัน
มุมมองด้านภาษาศาสตร์ไม่เพียงพอ ต้องเอาหลาย ๆ ศาสตร์มารวมกัน ถึงจะพบความจริง
ชื่อของดินแดน บ้าน หรือ บาน นา ที่ลุ่ม เมือง ใช้เหมือนกัน เพลงลูกทุ่งมีจังหวะและท่วงทำนองคล้ายกัน
เมื่อปี 1996 จีนจัดสัมมนาเพลงลูกทุ่งในชนกลุ่มน้อย มีวิทยากรหลาย ๆ ได้มาร่วมงาน มีอาจารย์จ้วงร้องเพลง ผู้ร่วมสัมมนาที่มาจากเวียดนามกัมพูชาประหลาดใจและตื่นเต้นมาก เพราะเสียง จังหวะ ท่วงทำนอง คล้ายกัน
ชนชาติที่ใกล้เคียงกันไม่ใช่มีเพียงไทย ที่เวียดนาม มี สิบ และลาว ห้า ไทย ไทยและลาว พม่าเรียก สนดัง อินเดีย ก็มี ทั้งหมดมี หกประเทศ ประชากรมีประมาณ แปดล้านคน ต้นกำหนดของชนชาตินี้มาจากไหนนับว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ยังไม่มีทางออก
โดยหลักการวิจัยของอาจารย์คือทำวิจัยหลาย ๆ ด้าน มาประกอบกัน
มีเอกสารโบราณกล่าวถึงไก่ตอน คนตอน ซึ่งใช้ภาษาเดียวกัน
คำว่าเสื้อมีมาก่อนกางเกง เพราะหลักฐานโบราณระบุว่า สมัยโบราณคนไม่ได้นุ่งกางเกง แต่กางเกงเพิ่งมีมาทีหลัง ชื่อเรียกจึงแตกต่างกันไป
การศึกษาเรื่องเพลงอพยพ จะพบคำเก่า ๆ หลายคำ
นอกจากนี้ยังต้องศึกษาจากซากฟอสซิว พบว่า สัตรบางชนิดเหมือนกัน อากาศก็เหมือนกัน เหนือเมืองกุ้ยหลินเคยมีหิมะตกอาจยืนยันได้ว่า ต้นกำหนดของไทย ต้องมากจากตอนเหนือ มีการอพยพหลายๆ รุ่น และหลากหลายที่
* อาจารย์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม)


1400 ปีที่ห่างกัน วัฒนธรรมเริ่มแตกต่างกัน ไทยรับอิทธิพลจากอินเดีย ส่วนจ้วงได้รับอิทธิพลจากฮั่น แต่ก็มีประเพณีที่สืบทอดคล้ายกัน กบกินเดือน(ไทยลาว จ้วง เวียดนาม ไต) หมากินเดือน (จ้วงพม่า) ฟิลิปปินส์ (นกกินเดือน) ใน ศตวรรษที่ สาม มีการบันทึกเรื่องปรากฏการณ์ จันทรุปราคา ยืนยันความเชื่อเรื่องกบ เพราะ มีกบก็มีฝน ที่หนองคายมีภาพวาดที่คนไหว้ขอฝน มีรูปกบมาขอฝนด้วยเรื่องพญาแถน ก็มีเหมือนกัน
เรื่องกลองสัมฤทธิ์ (ที่กวางสี รัฐบาลจีน มีห้าร้อยกว่าใบ ส่วนเอกชน ประมาณ 1300 ใบ ) ประโยชน์ของกลองมี เก้ารายการ เช่น กษัตริย์ตีกลองเริ่มฤดูทำนาเพื่อให้เกิดสิริมงคล (กลองแสดงถึงอำนาจ)เอกสารโบราณระบุว่า หากจะได้กลองดี ต้องเอาวัวควายหนึ่งพันตัวมาแลก ใครมีกลองก็เป็นหัวหน้าเผ่า หัวหน้าเผ่าต้องทำนาเป็นคนแรก ซึ่งสอดคล้องกับพระราชพิธีแลกนาขวัญ
การผูกข้อต่อแขนก็ยังมีเหมือนกันกับชาวจ้วง มีเรื่องยักษ์ที่อยู่ในน้ำ พระยานาค
ใช้จมูกดื่มน้ำไม่มีในไทย นอกจากสำลักน้ำ
วันที่สามเดือนสาม ชาวจ้วงมีประเพณีกินข้าวเหนียวห้าสี ไทยเรียก บุญข้าวจี่ กินไข่มดแดง เหมือนกัน ชนชาติ
เรื่องนิทานหมาเก้าหาง หมาเก้าหางมาถึงโลกมนุษย์เอาข้าวเม็ดใหญ่มาแล้วแตกกระจายกลายเป็นข้าวซึ่งมีเหมือนกัน
เรื่องแมงกุดจี่ก็มีกินเหมือนกัน แมงกุดจี่มาจากฟ้า กษัตริย์สั่งให้ทำอาหารให้คนกิน สามวันกินหนึ่งครั้ง แต่แม่กุดจี่ให้กินวันละสามครั้ง ผิดคำสั่งกษัตริย์ กษัตริย์จึงสั่งให้ไปกินขี้ เรื่องปลาบู่ (ซึ่งเนื้อเรื่องคล้าย ๆ กัน ประมาณ สองร้อยเรื่อง) เรื่องข้าวเม่า เรื่องขวัญ เป็นต้น ท้ายสุดของการบรรยาย ท่านได้ฝากให้ลักษณะการวิจัยเหล่านี้ เป็นเรื่องฝากให้ทำ เพื่อทำให้เกิดความกระจ่างแก่วงวิชาการด้านมานุษยวิทยาต่อไป

หลังรับประทานอาหาร คณะ ได้เดินทางออกจากเมืองหนานหนิง มุ่งหน้าลงใต้ สู่เมืองเป๋ยไฮ่ เมืองชายแดนติดกับทะเล ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร โดยทางด่วนของประเทศจีน ค่าใช้จ่ายในการผ่านทางด่วนประมาณ 1,500 บาท ใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง
เมืองเป๋ยไห่ ตั้งอยู่ในมณฑลกวางสี อดีตเคยเป็นท่าเรือที่สำคัญของจีน แต่ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญและมีสถานที่ท่องเที่ยว ที่น่าสนใจหลายแห่ง แต่ที่มีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยว คือ หาดเงินเป๋ยไห่ (Silver Beach) ที่มีหาดทรายยาวถึง 24 กิโลเมตรด้วยความที่ทำเลดีเพราะอยู่ใกล้ประเทศเวียดนาม ฮ่องกง และมาเก๊า จึงมีส่วนช่วยผลักดันเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเมืองให้เจริญ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เป๋ยไห่ เป็นเมืองที่ถูกคาดการณ์เอาไว้ว่าน่าจะ “โตเร็วที่สุดในโลก” เนื่องจากมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 สูงถึง 10.58% ต่อปี ซึ่งหมายความว่าภายในปี ค.ศ. 2020 หรือในอีก 10 ปีข้างหน้า เมืองเป๋ยไห่ จะมีประชากรราว 1,250,000 คน จากเดิมที่มีเพียง 306,000 คนในปี ค.ศ. 2006 (ที่มา http://webboard.sanook.com/forum/3156192_15999038) เดินเที่ยวที่ใจกลางเมืองเป๋ยไฮ่ ก่อนเข้าที่พักที่โรงแรม Sunshine Holiday Hotel เข้านอนเวลา 20.00 น.
วันที่ 20 ตุลาคม 2553
ออกจากที่พักเวลา 08.00 น. แวะชมทะเลที่เป่ยไฮ่ลักษณะเป็นทรายละเอียด ไม่สะอาดเท่าไหร่ นักท่องเที่ยวมาก มีประติมากรรมคือ รูปปั้นโลก และผู้หญิงเปลือย ถัดจากนั้นคณะ เดินทางตลอดวันจุดหมายปลายทางคือเมืองกุ้ยหลิน
กุ้ยหลิน(Guilin)
เป็นหนึ่งในเมืองเอกของมณฑลกว่างซี มณฑลทางภาคใต้ของประเทศจีน ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 240,000 ตารางกิโลเมตร ทางทิศใต้ติดกับมณฑลหยุนหนัน ทางเหนือติด กับกุ้ยโจว ทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับหูหนัน ทางตะวันออกเฉียงใต้ ติดกับกว่างตง ทางใต้ติดกับอ่าวตังเกี๋ย และทางตะวันตกเฉียงใต้ติดกับ ประเทศเวียดนาม ลักษณะพื้นที่เป็นที่ราบแอ่งกระทะ และเทือกเขาขนาดเล็กที่ยาวคดเคี้ยวติดต่อกัน เทือกเขาสำคัญ ได้แก่ ภูเขาต้าหมิงซันและต้าเหยาซัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นเขตหินปูนขาวที่ครอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของประเทศ ด้วยเหตุนี้เองจึงมีถ้ำหินปูนอยู่มากมาย สภาพอากาศเป็นแบบเขตร้อน โดยทางเหนือเป็นเขตร้อนแถบเอเชียกลาง ทางใต้เป็นเขตร้อนแถบเอเชียใต้ อุณหภูมิเฉลี่ย 16-23 องศาเซลเซียส มีฝนตกชุก ฤดูร้อนยาวนานกว่าฤดูหนาว อุณหภูมิสูงสุดในเดือนกรกฎาคม ประมาณ 27-29 องศาเซลเซียส และต่ำสุดในเดือนมกราคมประมาณ 5.5-15.2 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,000-2,800 มิลลิเมตรต่อปี
เดินทางถึงเมืองกุ้ยหลิน 20.00 น. รับประทานอาหารค่ำและเข้าที่พักที่โรงแรม Hongkong

วันที่ 21 ตุลาคม 2553
ออกเดินทางจากที่พักเวลา 08.00 น. เพื่อล่องเรือที่แม่น้ำหลีเจียง แม่น้ำหลีเจียง ( Li River) หลีเจียง มีต้นน้ำมาจากเขาลูกแมวหรือที่ชาวจีนเรียกว่า “ มาวเอ๋อ ” ในเขตอำเภอซิงอ่านเมืองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลกวางสี ไหลลดเลี้ยวหลบหลีกขุนเขา ผ่านเมืองกุ้ยหลินถึงอำเภอหยางซั่วรวมความยาว 431 กิโลเมตร โดยมีชื่อใหม่ ช่วงต่อจากนั้นว่า กุ้ยเจียง ไหลเข้าสู่ชายแดนที่อำเภออู๋โจวเข้าสู่ทิศตะวันตก ของมณฑลกวางตุ้งที่เมืองเฟิงคาย มีชื่อใหม่ในกวางตุ้งว่า แม่น้ำตะวันตกหรือซีเจียง ไฮไลต์ของการมาเที่ยวที่กุ้ยหลินนี้อยู่ที่การล่องแม่น้ำหลีเจียง ที่มีความยาวกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อชมทิวทัศน์ที่สุดงดงามของภูเขาหิน ทั้งนี้โดยปกติแล้วการล่องแม่น้ำหลีเจียงเพื่อการท่องเที่ยวจะทำกันในระยะเวลา 60 กิโลเมตรโดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ด้วยเรือ 3 ชั้น ที่สองชั้นล่างจะทำเป็นโต๊ะอาหาร ขณะที่ดาดฟ้าจะเปิดโล่งให้นักท่องเที่ยวชมทิวทัศน์กันได้อย่างอิสระ ในราคาประมาณ 270 หยวน ( ราวพันกว่าบาท ) จุดหมายของการล่องเรือจะอยู่ที่เมือง หยางซั่ว (Yang-Shou)
หยางซั่ว ( Yangshuo)
ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองกุ้ยหลิน ห่างไปประมาณ 65 กิโลเมตร เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์สวยงาม จนมีคำกว่าวว่า “ หากกุ้ยหลินเป็นเมืองที่สวยที่สุดในจีน หยางซั่วก็เป็นที่ ที่สวยที่สุดในกุ้ยหลิน ” การเดินทางไปเมืองหยางซั่ว ทำได้ทั้งการล่องแม่น้ำหลีเจียง หรือโดยรถยนต์ หยางซั่ว เจริญเติบโตเพราะการท่องเที่ยว ทั้งหมู่บ้านแทบไม่มีสถานที่น่าสนใจ นอกจากร้านขายของ ร้านอาหาร และโรงแรม แต่รอบๆบริเวณเมืองหยางซั่ว มีสถานที่น่าเที่ยวชมหลายแห่ง นับว่าเป็นสวรรค์บนดิน ที่มีชื่อเสียง จนนักท่องเที่ยวมากุ้ยหลินแล้วต้องแวะ มาที่ หยางซั่ว ด้วย เนื่องจากการเดินทางโดย รถยนต์ที่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที หรืออาจจะนั่งเรือชมทัศนียภาพของหลีเจียง แล้วมาพักแรมที่หยางซั่ว ที่นี่จะสงบเงียบ เหมือนชนบท แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวก อย่างพรั่งพร้อมแก่ นักท่องเที่ยว ในราคาถูก ซึ่งจะมีย่านซึ่งประกอบไปด้วย ที่พักราคาถูก มีวิดีโอหนังฮอลลีวู้ดฉาย พร้อมร้านอาหารคาเฟ่ สไตล์ตะวันตก มีขนมแพนเค็ก พร้อมกาแฟ เพียงแต่ลูกค้ามีแต่ชาวต่างชาติเท่านั้น (ที่มา : www.travelchinaguide.com,วิกีพีเดียสารานุกรมเสรี)
ตอนเย็นเข้าชมการแสดงหลิว ซาน เจี๋ย การแสดงแสง สี เสียง ที่งดงามโดยใช้คนแสดงทั้งสิ้น 600 คน ผู้ชมในแต่ละรอบ ประมาณ 4,000 คน กลับถึงที่พัก 21.00 น.
ออกจากที่พัก เวลา 08.00 น.เพื่อเดินทางมาเขางวงช้าง เขางวงช้าง (Elephant Trunk Hill) เป็นสัญลักษณ์ของเมืองกุ้ยหลิน ตั้งอยู่ในตัวเมืองบริเวณจุดบรรจบของแม่น้ำ 2 สาย ได้แก่ หลีเจียงและถาวฮวาเจียง ( หยางเจียง ) เขางวงช้างมีรูปร่างหากมองจากมุมที่เหมาะจะเห็นเหมือนช้างกำลังใช้งวงดูดน้ำจากแม่น้ำหลีเจียง มีถ้ำลอดระหว่างงวงและขาหน้าของงวงช้างเป็นรูปทรงกลม มองดูคล้ายพระจันทร์กำลังตกน้ำยามพลบค่ำ ถ้ำนี้จึงมีชื่อว่า “ สุ่ยเย่ ” หรือพระจันทร์บนผิวน้ำ เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นหน้าขึ้นตาของเมือง
เวลา 10.00 น. เดินทางกลับเมืองหนานหนิง ถือที่พักที่โรงแรมซินหัวไทม์โฮเทล เวลา 20.00 น.
วันที่ 23 ตุลาคม 2553

เที่ยวตลาดนัดคล้ายจตุจักร ก่อนเดินทางเข้าร่วมพิธีปิดเวลา 14.00 น. เดินทางไปสนามบินหนานหนิง เพื่อกลับประเทศไทย โดยเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินฮ่องกง ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 23.00 น. โดยสวัสดิภาพ

Monday, June 15, 2009

ThinkQuest กับ gogoland

ThinkQuest หรือ www.ThinkQuest.com เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่างมูลนิธิเพื่อการศึกษาของ ORACLE กับ สำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยจุดมุ่งหมายถ้าอธิบายกันง่าย ๆ คือ ใช้เว็บไซด์นี้เป็นเครื่องมือช่วยจัดการเรียนการสอน ฟังดูว่าง่ายครับถ้าเราทำเหมือนที่เคยทำ คือนำเนื้อหาเข้าเว็บไซด์แล้วให้เด็กเข้าไปอ่าน แต่จากการเข้าไปสัมผัส “วิธีคิด” จริง ๆ ของ ThinkQuest ต้องยอมรับครับว่า สนุกและง่ายเข้าไปอีกขั้น จริง ๆ
ลองทบทวนวันที่เริ่มรู้จัก ThinkQuest ก็พอเดาทางออกว่าเราต้องกระทำอะไรบางอย่างลงไปในเว็บไซด์นี้เพื่อ ผู้เรียนจะได้เข้าถึง “ข้อมูล” หรือตามความเชื่อเราคือ “ความรู้” ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เพราะอย่างน้อยเราก็ต้องสอนตามสิ่งนั้น ความพยายามอีกขั้นของผมในช่วงแรกนั้น คือการใช้เครื่องมือที่ว่านี้ เป็นช่องทางสำหรับนำ “ผลลัพธ์” จากการเรียนเขียนคำประพันธ์ของผู้เรียน วางลงไปในเว็บไซด์ และให้รวบรวมผลงานออกมาเป็นหนังสือรูปเล่ม สำหรับสร้างความประทับใจให้กับผู้เรียน
หลังจากเข้าร่วมกิจกรรม กับ ThinkQuest ผมกลับมาทบทวนสิ่งที่ได้ทำมาก่อน กับสิ่งที่ ThinkQuest สอดแทรก “วิธีคิด” ลงในกิจกรรมอย่างค่อนข้างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม เกมกลุ่ม หรือ การฟังบรรยายจาก ดร.รังสรรค์ วิบูลย์อุปถัมภ์ จาก unicef ประจำประเทศไทย เกี่ยวกับ Life skills หรือ ทักษะการใช้ชีวิตสำหรับนักเรียนในทศวรรษที่ 21 ซึ่ง เมื่อฟัง “ทฤษฎี” แล้ว ได้ลงมือ “ปฏิบัติ” ไปพร้อมกันแล้ว ย่อม เกิด “ประสบการณ์” และ เป็น ความรู้ฝังลึก และมองอีกมุม นี่คือ “วิธีคิด”จริง ๆ ที่ ThinkQuest นำเสนอให้กับครูได้เข้าใจไปพร้อม ๆ กับ การปฏิบัติโดยกิจกรรมที่สนุก เชื่อมั๊ยว่า ครูหลายท่านเคยทำกิจกรรมดังกล่าวมาบ้างแล้ว รวมทั้งผม แต่ “ผลลัพธ์” มันแตกต่าง กัน อาจเพราะสิ่งแวดล้อมต่าง หรือสังคมต่างกันไป แต่เชื่อเถอะ เมื่อได้ “วิธีคิด”และ “คิดออกแบบ”ในทางที่แตกต่างกันตามบริบทที่อยู่กับเรา ผมเชื่อว่า มันต้องได้ “ผลลัพธ์” คล้าย ๆ กันในสักวัน
ย้อนกลับไปที่ย่อหน้าแรก ที่ผมเคยเชื่อว่า “ข้อมูล” คือ “ความรู้” ผมกำลังบ่นในกับตัวเองว่า คิดผิด! เพราะกิจกรรม ThinkQuest สอนให้เข้าใจความรู้ที่แท้จริง คือ การนำ “ข้อมูล” มาเล่าผ่าน “กิจกรรม” และจำลองสถานการณ์เพื่อสร้าง “ประสบการณ์” ผมเชื่อว่า มุมมองของผู้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวมีหลากหลาย เป็น “ความรู้จากประสบการณ์” ของแต่ละคน แตกต่างกันไป แล้วเมื่อนำไปเลือกใช้ให้ถูกที่ ถูกบริบท ความรู้ก็ย่อมจะเพิ่มพูนและขยายความรู้เดิมไปเรื่อย ๆ ทั้งผู้ให้และผู้รับ อย่างนี้กระมังที่เรียกว่า “ปัญญา” คือมันงอกเงยแบบไม่มีสิ้นสุด ...อืม....ถ้าผมพูดต่อผมคงต้องบวชก่อนถึง Think camp ถัดไปแน่ ๆ ขอเวลาอีกนิดให้คิดกิจกรรมใหม่ ๆ นะครับ เดี๋ยวจะรายงานให้ทราบต่อไป