Sunday, October 14, 2012

ผมไป EDUCA 2012 มา


รายงานผลการศึกษาเข้าฟังบรรยายพิเศษ ในงาน EDUCA 2012 
ณ อิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี
9-11 ตุลาคม 2555
   *สัจจพงษ์  ญาตินิยม 
Educa 2012 : The 5th Annual Congress for Teacher Professional Development หรืองานมหกรรมทางการศึกษาเพื่อพัฒนาวิชาชีพครู ครั้งที่ 5 เป็นงานแสดงสินค้าและการประชุมสำหรับกลุ่มผู้บริหารทางการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ตลอดจนครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยมีการนำเสนอแนวคิด นวัตกรรมและองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้กับครูเพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ เช่น International Conference Workshop Trade Exhibition โดยข้าพเจ้าได้เข้าร่วม Workshop 2 กิจกรรมดังนี้



วันที่ 10 ตุลาคม 2555

ฟังบรรยาย หัวข้อ แท็บเล็ตกับการเรียนการสอนแบบ win - win situation - ผู้เรียนสนุก ผู้สอนได้ประโยชน์ โดยผู้เชี่ยวชาญ ของ ipad
ประเด็นสำคัญของหัวข้อบรรยายนี้คือ ผู้เชี่ยวชาญได้เน้นถึงประโยชน์ของเครื่องมือที่เรียกว่า ipad แท็บเล็ตของ Apple ซึ่งมีเครื่องมือที่เรียกว่า Application ต่าง ๆ ให้ดาว์นโหลด  และนำมาจัดการเรียนการสอนได้ พร้อมทั้งนำเสนอตัวอย่าง Application 10 ตัวอย่างให้เลือกใช้ทั้งฟรีและไม่ฟรี ซึ่งของไม่ฟรีก็ซื้อในราคาย่อยเยาว์ เช่น App ที่สามารถล็อคหน้าจอ Ipad ของเด็ก ๆ ให้สนใจเฉพาะบทเรียนที่เรากำหนดให้อ่านได้ มันสามารถตรวจสอบว่าอยู่ในหน้านั้นหรือไม่ หรือ App ที่สามารถใช้ส่งสัญญาณภาพจาก Ipad ไปยังเครื่องโปรเจคเตอร์ ได้โดยสัญญาณ บูทูต ได้เป็นต้น
สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญให้ความสำคัญประการหนึ่งและข้าพเจ้าค่อนข้างเห็นด้วยคือ การสอนให้นักเรียนนำความรู้มาสร้างเป็นเครื่องมือ หรือ App ให้คนอื่นเข้าถึงความรู้ เล่าง่าย ๆ คือ ให้นักเรียนทำ Application ให้เป็น นักเรียนได้เรียนรู้การทำ App และทำความเข้าใจเนื้อหาที่เรากำหนดให้ทำไปพร้อมกัน ผลประโยชน์ทางอ้อมที่อาจได้กลับคืนมาคือ ถ้า App นั้น ขายได้  สมมติว่าดาว์นโหลดครั้งละ 30 บาท คนที่ใช้เครื่อง ipad หรือ iphone ในโลกมีอยู่ประมาณ ร้อยล้านเครื่อง แต่เขาอาจจะดาว์นโหลดให้เราแต่ 1 ล้านเครื่อง เราก็รับทรัพย์ 30 ล้าน ก็อยู่ได้สบายแล้ว ... นั่นคือสิ่งที่น่าปรับใช้กับนักเรียนของเรา



วันที่ 11 ตุลาคม 2555
ฟังบรรยาย หัวข้อ สอนเขียนแผนบูรณาการบนฐานเด็กเป็นสำคัญ : ทักษะการคิด อยู่อย่างพอเพียง และประชาคมอาเซียน โดย คณาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประเด็นแรก ความสำคัญของการวางแผนการสอน โดยวิทยากรฉายภาพวิวัฒนาการของสังคมเริ่มจากสังคมอุตสาหกรรมเข้าสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ ซึ่งเรากำลังดำเนินอยู่ และกำลังสู่สังคมใหม่นั่นคือสังคมแห่งการแบ่งปัน ซึ่งมีคุณค่ามากและต้องเร่งปลูกฝังความคิดนี้กับนักเรียนเพราะจำเป็นต่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 นอกจากนี้แล้ววิทยากรยังกล่าวถึงวัฒนธรรม 4 ประเภท คือวัฒนธรรมท้องถิ่น วัฒนธรรมชาติ วัฒนธรรมอาเซียน และวัฒนธรรมโลก ซึ่งเป็นปัจจัยในการนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับนักเรียนในฐานะพลเมืองของโลก การเติมทักษะทางวัฒนธรรมอย่างครอบคลุมจะส่งผลไปยังผู้เรียนที่ดำรงคงอยู่อย่างเข้าใจ เข้าถึงพลวัตของโลกยุคสังคมแห่งการแบ่งปันมากยิ่งขึ้น
   
ประเด็นต่อมารูปแบบการเขียนแผนทุกขั้นตอน การเขียนแผน ก็คือการเตรียมกรอบการสอนให้รัดกุมและทุกขั้นตอนจะมีความหมายวัดผลได้ตามหลัก 6 ข้อ ของบลูม ได้แก่ รู้จำ  เข้าใจ นำไปใช้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า และต้องนำเอาคุณลักษณะอันพึงประสงค์แทรกลงไปในแผน พูดอย่างง่ายคือ นำ K P A ความรู้ ทักษะ จิตพิสัย ใส่ไปตั้งแต่วัตถุประสงค์จนไปถึงวัดผลให้ได้
สุดท้ายคือทักษะเฉพาะในการสอนคนทีละพันคน ของอาจารย์วิทยากรที่ตรึงให้ต้องตื่นตัวและเรียนรู้แบบไม่เบื่อตลาดครึ่งวัน มุกเกี่ยวกับ เป็นครูต้องดูดี เช่น นิ้วที่ใส่แหวนและทาเล็บสีสวยจะดูดีกว่านิ้วที่ไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นต้น
นอกเหนือจากนี้แล้วข้าพเจ้ายังได้ใช้เวลา่ว่างไปทัศนศึกษาที่เกาะเกร็ด และได้เกร็ดใหม่ ๆ หรือความรู้ใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกกับข้าวแช่ หรือข้ามฟาก 2 บาทไปเกาะเกร็ด เครื่องปั้นกินเผาสุดวิจิตร เป็นต้น ภาพรวมทริปการศึกษาดูงานครั้งนี้คุ้มค่ากับการลงทุนครับ

        
  

Sunday, August 26, 2012

gogoland ไปนครปฐมและลพบุรีมา ...


รายงานผลการศึกษาดูงานโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสน จ.นครปฐม               (โครงการ วมว) และการศึกษาดูงาน โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย ศูนย์อาเซียนศึกษา                                          จ.ลพบุรี 21-22 สิงหาคม 2555
*สัจจพงษ์  ญาตินิยม

วันอังคาร ที่ 21 สิงหาคม 2555

            สืบเนื่องจาก มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2555 ได้เห็นชอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดำเนินโครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) ระยะที่ 2 ระยะเวลา 10 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 - 2565) โดยมีเป้าหมายรวม 174 ห้องเรียน เพื่อสนับสนุนนักเรียนรวมทั้งสิ้น 5,220 คน กรอบวงเงินงบประมาณของโครงการ วมว. ตลอดโครงการเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 3,227 ล้านบาท และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) ของเราก็ได้รับการยืนยันจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ให้ดำเนินการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน เริ่มในปีการศึกษา 2556 นี้ เราจึงต้องไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง
1.      ประเด็นที่ได้รับจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสน คือ เราต้องรู้จุดเด่น จุดเน้นของเรา และเอาจุดเด่นจุดเน้น มาเป็นจุดขายของโครงการในส่วนภูมิภาค เพราะเรามีคู่แข่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือถึง 3 ห้องเรียน และเก่าแก่กว่าเราแทบทั้งสิ้น
2.      การปลูกฝังความเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่รักการค้นคว้าทดลอง ตัวอาจารย์ผู้สอนเองต้องมีบุคลิกภาพอย่างนั้นก่อน เด็กจึงจะศรัทธาและนำอาจารย์มาเป็นต้นแบบได้
3.      หลักการบริหารโครงการที่ดีต้องประสานงานอย่างจริงใจ ไม่เกี่ยงงาน และผู้บริหารสูงสุดต้องรู้เห็นเป็นใจกับเรา เพื่อที่จะประสานทรัพยากรที่เราจำเป็นต้องใช้จากคณะอื่น ๆในมหาวิทยาลัย หรือส่งต่อนักเรียนเข้าสู่คณะวิทยาศาสตร์ หรือคณะที่เกี่ยวข้องได้ด้วย
4.      ผู้ประสานงานต้องลดทิฐิ อัตตา เพื่อว่าเราจะมุ่งหน้าสู่เป้าหมายไปพร้อมกัน
5.      การประชาสัมพันธ์ทั้งภายในองค์กรและต่อสาธารณชน ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก ต้องมีการแถลงข่าวชัดเจน และการสร้างข่าวสารเชิงบวกเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
6.      การดูแลนักเรียนมีหลักการที่ดี คือ ดูแลนักเรียนแบบใกล้ชิดเมื่อพบปัญหาทั้งการเรียนและเรื่องส่วนตัวก็ไม่ละทิ้ง เข้าไปจัดการตรงปัญหาทันที การแก้ปัญหาจึงไม่เหมือนการหว่านแห แก้ไปทุกอย่างแต่ไม่ตรงปัญหาสักที
ด้วยศักยภาพที่เราเห็นทั้งภาพการร่วมแรงร่วมใจ และหลักในการทำงานชัดเจน โครงการ วมว.ของ
โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสน จึงโดดเด่นเป็นที่จับตามองและถูกยกย่องให้เป็นโครงการ วมว.อันดับต้น ๆ ของประเทศอย่างไม่ต้องสงสัย ในฐานะผู้ศึกษาดูงาน ข้อมูลเหล่านี้โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) ของเราควรมีการรวบรวมและประชุมทำแผนการดำเนินงานให้ชัดเจนโดยยึดหลักที่ดีบางอย่างของกำแพงแสน บวกหลักที่เยี่ยมยอดของสาธิต สารคามเราเข้าไปด้วยกันจะสมบูรณ์แบบมาก
  
วันพุธที่ 22 สิงหาคม 2555

อาเซียน  หรือสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  (Association of Southeast Asian Nations หรือ ASEAN) ได้ถูกก่อตั้งขึ้นภาใต้ปฏิญญากรุงเทพ (The Bangkok Declaration) เมื่อวันที่ 8สิงหาคม 2510 โดยมีสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ในเวลาต่อมาได้มีประเทศต่างๆ สมัครเข้าเป็นสมาชิกเพิ่มเติม ได้แก่ บรูไน เวียดนาม ลาว พม่า และกังพูชา ตามลำดับทำให้อาเซียนมีสมาชิกรวมทั้งหมด 10 ประเทศ โดยยึด 3 เสาหลัก คือ
 1.ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน  
 2.ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน  
 3.ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน

Sathit Mahasarakham@Pibul School 2012 on PhotoPeach  

จากการศึกษาดูงานศูนย์อาเซียนศึกษา ของโรงเรียนพิบูลวิทยาลัย พบว่า

1.      โรงเรียนเราไม่จำเป็นต้องมีศูนย์อาเซียน เพราะ
1.1  ศูนย์อาเซียนเป็นนโยบายของ สพฐ. มี 54 โรงเรียนทั่วประเทศ (Sister School จำนวน
30 โรง Buffer School  จำนวน 24 โรง ) ใกล้ที่สุดอยู่โรงเรียนกัลยาณวัตรขอนแก่น ที่จังหวัดมหาสารคาม ของ สอศ. มีศูนย์อาเซียนศึกษาที่วิทยาลัยเทคนิคมหาสารคาม เปิดศูนย์เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 55 นี้เอง
1.2  จากการที่เป็นนโยบายจึงมีงบประมาณส่วนหนึ่งมาสนันสนุน และศักยภาพในการระดม
ทุนของโรงเรียนประจำจังหวัดจะมีมากกว่าโรงเรียนสาธิตแน่นอน
                        1.3 การสร้างศูนย์มีภาระตามมา เช่น การจัดการบุคลากร ภาระงานสอน ภาระงานตามแผนงานประจำปี และจะส่งผลถึงจุดเน้นของโรงเรียนกับโครงการที่จำเป็นกว่า (วมว.)

            2. โรงเรียนเราควรดำเนินการดังนี้
2.1 ควรเชื่อมเนื้อหาอาเซียนแทรกในบทเรียนเป็นหลัก รับผิดชอบโดยกลุ่มสาระฯ ในการ
จัดทำแผนการสอนรายบุคคล แผนปฏิบัติงานประจำปีของกลุ่มสาระ หรืออื่น ๆ ที่มีเนื้อหาอาเซียนสอดแทรก โดยฝ่ายวิชาการ กำกับดูแลเป็นหลัก
                              2.2 มุมอาเซียนในห้องสมุดเป็นสิ่งจำเป็นมาก  มี หนังสือ และแผ่นพับ  แหล่งสืบค้นทางอินเตอร์เน็ต ตุ๊กตาชุดประจำชาติ สื่อวีดิทัศน์   เอกสารข้อมูลสืบค้น สัญลักษณ์ที่สื่อถึงวัฒนธรรมของชาติต่างๆ อาทิ ภาพแขวน และงานหัตถกรรมต่างๆ ไว้มุมใดมุมหนึ่งของห้องสมุด
                        2.3 กลุ่มสาระต่าง ๆ ควรมีจุดเน้นเฉพาะเพิ่มอีกเพื่อเป็นจุดขาย เช่น กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ ดำเนินการด้านหลักสูตรภาษาอาเซียน ห้องเรียนเฉพาะทางด้านภาษาบส เทศกาลอาเซียน เป็นต้น หรือกลุ่มสาระสังคมฯ อาจจัดกิจกรรม ค่ายวิชาการ ชุมนุม ที่เน้นให้ความรู้เกี่ยวกับ 3 เสาหลักอาเซียน เป็นต้น
                        2.4 หลักสำคัญคือทำทุกอย่างร่วมกัน หรือแบ่งงานตามนโยบายให้ทำเท่า ๆ กันทุกกลุ่มไม่ให้หนักที่ใครหรือกลุ่มสาระใดสาระหนึ่ง ทำให้เนียนกับสิ่งที่เราทำมาแล้ว จะไม่เกิดภาพของงานที่ซ้อนทับ หรือ งอกงานใหม่มากเรื่อย ๆ จนบดบังจุดเน้นของตัวเอง

gogoland อยู่เกาหลี

Tuesday, November 9, 2010

gogoland ไป ทัศนศึกษาจีน

รายงานผลการเดินทางไปราชการ เมืองหนานหนิง เป๋ยไฮ่ และ กุ้ยหลิน
ระหว่างวันที่ 17 – 24 ตุลาคม 2553
โดย นายสัจจพงษ์ ญาตินิยม

17 ตุลาคม 2553
เริ่มต้น 07.30 น. ข้าพเจ้าดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยรถโดยสารนั่งส่วนบุคคล พร้อมคณะเดินทางจำนวน 16 คน ประกอบ ผู้อำนวยการ ผู้จัดการ รองผู้อำนวยการ และศึกษานิเทศก์ จาก จังหวัดร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ และมหาสารคาม โดยมีนางสาว จีลี่ลี่ อาจารย์จากสถาบันขงจื้อ เป็นผู้นำคณะไปเมืองหนานหนิง เครื่องบินของสายการบินไทย ออกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลา 10 .00 น. ถึงสนามบินนานาชาติ เมืองคุณหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที และคณะได้รอเครื่องเพื่อต่อไปสนามบินนานาชาติเมืองหนานหนิง อุณหภูมิที่เมืองคุณหมิง 20 องศาเซลเซียส ลักษณะของสนามบินค่อนข้างเก่า การบริการไม่ดีนัก ห้องน้ำไม่สะอาด กลิ่นบุหรี่อบอวลทั่วห้องรอขึ้นเครื่อง แต่มีสัญญาณไวเลตให้บริการ คณะรับประทานอาหารเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโดยใช้น้ำร้อนที่ทางสนามบินเตรียมไว้ ใช้เวลาในการรอประมาณ 4 ชั่วโมง คณะได้เดินทางต่อโดยสายการบิน China Eastern ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ถึงสนามบินหนานหนิง คณะใช้เวลาเดินทางเข้าตัวเมืองหนามหนิง 30 นาที ระหว่างทางเข้าเมืองมีการตกแต่งด้วยต้นไม้สวยงาม เพราะมีงาน อาเซียนเอ็กโปร ซึ่งจัดขึ้นทุกปีที่เมืองหนานหนิง รับประทานอาหารค่ำที่ภัตราคารก่อนเข้าพักที่ ซินหัวไทม์โฮเทล เมื่อเวลา 21.00 น.


18 ตุลาคม 2553
เริ่มเวลา 09..00 น. คณะ ได้เดินทางเข้าเยี่ยมชม โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยชนชาติกว่างสี ระดับมัธยมศึกษา โดยโรงเรียนมีนักเรียนทั้งหมดมี 800 คน ส่วนใหญ่เป็นบุตรบุคลากรของมหาวิทยาลัย และชนชาติพื้นเมืองได้แก่ชาวจ้วง และอื่น ๆ ซึ่งเป็นเขตยากจน จำนวน ร้อยกว่าคน อาจารย์ประจำ 60 คน สถานที่ของโรงเรียน ใช้อาคารเก่าของมหาวิทยาลัยในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งในปีหน้าอาคารหลังใหม่จะสร้างเสร็จ วิธีการจัดการเรียนการสอน ใช้วิธีการสอนจากยุโรปและสหัฐอเมริกา มีครูภาษาต่างประเทศจากอเมริกามาทำการสอนทุกปิดภาคเรียน โดยโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยกว่างสี พยายามจะเน้นการแลกเปลี่ยนนักเรียนในเอเชีย เช่น ไทย เวียดนาม ซึ่งในตอนนี้ก็มีนักเรียนแลกเปลี่ยนกับไทยอยู่
ด้านรายได้จากการจัดการเรียนการสอน มัธยมศึกษาตอนต้น เรียนฟรี ส่วนมัธยมศึกษาตอนปลาย จ่ายเงินเรียน นักเรียนอยู่หอพัก ชำระค่าเล่าเรียนประมาณปีละ 75,000 บาท โดยภาพรวมของโรงเรียนยังไม่มีชื่อเสียงนักในหนานหนิงแต่บุคลากรที่นี่มีความตั้งใจในการจัดการเรียนการสอนและเชื่อว่าเราอาจได้ร่วมมือกันในอนาคต

เวลา 11.00 น. คณะได้เข้าร่วมพิธีเปิด”โครงการนำผู้บริหารโรงเรียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยศึกษาดูงานด้านภาษาและวัฒนธรรมจีน” โดยรองอธิการบดี หลี่ เซ็น ถัง ซึ่งได้แนะนำมหาวิทยาลัยชนชาติกว่างซี หลักสูตรที่เปิด ตั้งแต่อนุบาล ถึงปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมีความเป็นสากล มีสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัย งานวิจัยด้ารวัฒนธรรม เศรษฐกิจและสังคมเกี่ยวกับชนชาติส่วนน้อยก็มีมากโดยเฉพาะงานวิจัยด้านภาษาของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมหาวิทยาลัยเปิดสอนอยู่ 9 ภาษา เช่น ไทย เวียดนาม พม่า กัมพูชา มาเลเซีย เป้นต้น มหาวิทยาลัยมีนิสิตต่างชาติ 2,000 กว่าคน ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีนิสิตต่างชาติมากที่สุด ท้ายสุดรองอธิการบดีก็ขอให้ทางคณะได้นำเรื่องราวในการทัศนศึกษาที่ประเทศจีนไปเผยแพร่ในวงกว้างต่อไป จากนั้น คณะได้ไปรับประทานอาหารเที่ยงที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย ซึ่งดำเนินการโดยเอกจนลักษณะภัตราคาร
เวลา 13.00 น. คณะเดินทางได้เยี่ยมชมกิจการของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยกว่างสี (ฝ่ายประถม) รายละเอียดของโรงเรียนประถม มีนักเรียน 500 คน เป็นบุตรบุคลากร ครึ่งหนึ่ง ครูประจำการ 35 คน มีนักเรียน 200 คนอาศัยในหอพักนักเรียน ส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อย การจัดการเรียนการสอน เน้นให้ผู้เรียนแข่งขันกับตัวเอง และดูเคร่งครัดในการจัดการเรียนการสอนมาก ผู้เรียนถูกคัดเกรดเป็นห้อง ตั้งแต่ เกรด เอ ถึง ดี จัดการเรียนการสอนตามลักษณะของผู้เรียน โรงเรียนได้จัดการแสดงพิเศษคือการเล่นพินพร้อมขับร้องโดยนักเรียน ป. 6 ซึ่งสะท้อนถึงถึงความสามารถของนักเรียนได้ดี โดยในภาพรวมและการสัมภาษณ์โรงเรียนประถมจะมีคุณภาพ และชื่อเสียงดีกว่า โรงเรียนมัธยม
หลังรับประทานอาหารเย็น คณะได้เข้าชมห้างสรรพสินค้าและเมืองหนานหนิงยามราตรี ก่อนกลับเข้าที่พักที่ ซินหัวไทม์โฮเทล เวลา 20 .00 น.

การบรรยายพิเศษของ ศาตราจารย์ ฟ่าง ขง กุ้ย มหาวิทยาลัยชนชาติกว่างสี
เรื่อง รากเหง้าเดียวกันระหว่างไทยกับจ้วง
อังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 08.30 – 12.00 น. ณ ห้องประชุม ศูนย์นักศึกษานานาชาติ มหาวิทยาลัยชนชาติกว่างสี เมืองหนานหนิง มณฑลกว่างสี ประเทศจีน

*สัจจพงษ์ ญาตินิยม
-------------------------------

ศาสตราจารย์ฟ่าง ขง กุ้ย มีประสบการณ์สูง ได้รับเชิญให้ไปบรรยายหลายประเทศรวมทั้งไทย ประเด็นที่สำเสนอในวันนี้คือ ความสัมพันธ์ระหว่างจ้วงสิบสามชนชาติกับภาษาไทย ตัวอย่าง คำว่า ไฟ มาจาก ภาษาจ้วง ไม่ได้ยืมจากภาษาอังกฤษ คำว่า เมล็ดพันธุ์ มาจาก ภาษาจ้วงที่กว่างสี ไม่ไดยืมจากภาษาบาลี คำว่าเปลือกของหน่อไม้ ผลไม้ มะไฟ จ้วงเรียกมะไฟ เหมือนกัน ไม่มีน้ำดำนา ภาษาจ้วง คำว่าน้ำ เป็นสระเสียงสั้น ไทย เสียงยาว เคยเอาคำภาษาจ้วงแปดร้อยคำมาวิจัยพบว่า เหมือนกัน น่าจะมีจากรากเดียวกัน
มุมมองด้านภาษาศาสตร์ไม่เพียงพอ ต้องเอาหลาย ๆ ศาสตร์มารวมกัน ถึงจะพบความจริง
ชื่อของดินแดน บ้าน หรือ บาน นา ที่ลุ่ม เมือง ใช้เหมือนกัน เพลงลูกทุ่งมีจังหวะและท่วงทำนองคล้ายกัน
เมื่อปี 1996 จีนจัดสัมมนาเพลงลูกทุ่งในชนกลุ่มน้อย มีวิทยากรหลาย ๆ ได้มาร่วมงาน มีอาจารย์จ้วงร้องเพลง ผู้ร่วมสัมมนาที่มาจากเวียดนามกัมพูชาประหลาดใจและตื่นเต้นมาก เพราะเสียง จังหวะ ท่วงทำนอง คล้ายกัน
ชนชาติที่ใกล้เคียงกันไม่ใช่มีเพียงไทย ที่เวียดนาม มี สิบ และลาว ห้า ไทย ไทยและลาว พม่าเรียก สนดัง อินเดีย ก็มี ทั้งหมดมี หกประเทศ ประชากรมีประมาณ แปดล้านคน ต้นกำหนดของชนชาตินี้มาจากไหนนับว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ยังไม่มีทางออก
โดยหลักการวิจัยของอาจารย์คือทำวิจัยหลาย ๆ ด้าน มาประกอบกัน
มีเอกสารโบราณกล่าวถึงไก่ตอน คนตอน ซึ่งใช้ภาษาเดียวกัน
คำว่าเสื้อมีมาก่อนกางเกง เพราะหลักฐานโบราณระบุว่า สมัยโบราณคนไม่ได้นุ่งกางเกง แต่กางเกงเพิ่งมีมาทีหลัง ชื่อเรียกจึงแตกต่างกันไป
การศึกษาเรื่องเพลงอพยพ จะพบคำเก่า ๆ หลายคำ
นอกจากนี้ยังต้องศึกษาจากซากฟอสซิว พบว่า สัตรบางชนิดเหมือนกัน อากาศก็เหมือนกัน เหนือเมืองกุ้ยหลินเคยมีหิมะตกอาจยืนยันได้ว่า ต้นกำหนดของไทย ต้องมากจากตอนเหนือ มีการอพยพหลายๆ รุ่น และหลากหลายที่
* อาจารย์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม)


1400 ปีที่ห่างกัน วัฒนธรรมเริ่มแตกต่างกัน ไทยรับอิทธิพลจากอินเดีย ส่วนจ้วงได้รับอิทธิพลจากฮั่น แต่ก็มีประเพณีที่สืบทอดคล้ายกัน กบกินเดือน(ไทยลาว จ้วง เวียดนาม ไต) หมากินเดือน (จ้วงพม่า) ฟิลิปปินส์ (นกกินเดือน) ใน ศตวรรษที่ สาม มีการบันทึกเรื่องปรากฏการณ์ จันทรุปราคา ยืนยันความเชื่อเรื่องกบ เพราะ มีกบก็มีฝน ที่หนองคายมีภาพวาดที่คนไหว้ขอฝน มีรูปกบมาขอฝนด้วยเรื่องพญาแถน ก็มีเหมือนกัน
เรื่องกลองสัมฤทธิ์ (ที่กวางสี รัฐบาลจีน มีห้าร้อยกว่าใบ ส่วนเอกชน ประมาณ 1300 ใบ ) ประโยชน์ของกลองมี เก้ารายการ เช่น กษัตริย์ตีกลองเริ่มฤดูทำนาเพื่อให้เกิดสิริมงคล (กลองแสดงถึงอำนาจ)เอกสารโบราณระบุว่า หากจะได้กลองดี ต้องเอาวัวควายหนึ่งพันตัวมาแลก ใครมีกลองก็เป็นหัวหน้าเผ่า หัวหน้าเผ่าต้องทำนาเป็นคนแรก ซึ่งสอดคล้องกับพระราชพิธีแลกนาขวัญ
การผูกข้อต่อแขนก็ยังมีเหมือนกันกับชาวจ้วง มีเรื่องยักษ์ที่อยู่ในน้ำ พระยานาค
ใช้จมูกดื่มน้ำไม่มีในไทย นอกจากสำลักน้ำ
วันที่สามเดือนสาม ชาวจ้วงมีประเพณีกินข้าวเหนียวห้าสี ไทยเรียก บุญข้าวจี่ กินไข่มดแดง เหมือนกัน ชนชาติ
เรื่องนิทานหมาเก้าหาง หมาเก้าหางมาถึงโลกมนุษย์เอาข้าวเม็ดใหญ่มาแล้วแตกกระจายกลายเป็นข้าวซึ่งมีเหมือนกัน
เรื่องแมงกุดจี่ก็มีกินเหมือนกัน แมงกุดจี่มาจากฟ้า กษัตริย์สั่งให้ทำอาหารให้คนกิน สามวันกินหนึ่งครั้ง แต่แม่กุดจี่ให้กินวันละสามครั้ง ผิดคำสั่งกษัตริย์ กษัตริย์จึงสั่งให้ไปกินขี้ เรื่องปลาบู่ (ซึ่งเนื้อเรื่องคล้าย ๆ กัน ประมาณ สองร้อยเรื่อง) เรื่องข้าวเม่า เรื่องขวัญ เป็นต้น ท้ายสุดของการบรรยาย ท่านได้ฝากให้ลักษณะการวิจัยเหล่านี้ เป็นเรื่องฝากให้ทำ เพื่อทำให้เกิดความกระจ่างแก่วงวิชาการด้านมานุษยวิทยาต่อไป

หลังรับประทานอาหาร คณะ ได้เดินทางออกจากเมืองหนานหนิง มุ่งหน้าลงใต้ สู่เมืองเป๋ยไฮ่ เมืองชายแดนติดกับทะเล ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร โดยทางด่วนของประเทศจีน ค่าใช้จ่ายในการผ่านทางด่วนประมาณ 1,500 บาท ใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง
เมืองเป๋ยไห่ ตั้งอยู่ในมณฑลกวางสี อดีตเคยเป็นท่าเรือที่สำคัญของจีน แต่ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญและมีสถานที่ท่องเที่ยว ที่น่าสนใจหลายแห่ง แต่ที่มีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยว คือ หาดเงินเป๋ยไห่ (Silver Beach) ที่มีหาดทรายยาวถึง 24 กิโลเมตรด้วยความที่ทำเลดีเพราะอยู่ใกล้ประเทศเวียดนาม ฮ่องกง และมาเก๊า จึงมีส่วนช่วยผลักดันเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเมืองให้เจริญ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เป๋ยไห่ เป็นเมืองที่ถูกคาดการณ์เอาไว้ว่าน่าจะ “โตเร็วที่สุดในโลก” เนื่องจากมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 สูงถึง 10.58% ต่อปี ซึ่งหมายความว่าภายในปี ค.ศ. 2020 หรือในอีก 10 ปีข้างหน้า เมืองเป๋ยไห่ จะมีประชากรราว 1,250,000 คน จากเดิมที่มีเพียง 306,000 คนในปี ค.ศ. 2006 (ที่มา http://webboard.sanook.com/forum/3156192_15999038) เดินเที่ยวที่ใจกลางเมืองเป๋ยไฮ่ ก่อนเข้าที่พักที่โรงแรม Sunshine Holiday Hotel เข้านอนเวลา 20.00 น.
วันที่ 20 ตุลาคม 2553
ออกจากที่พักเวลา 08.00 น. แวะชมทะเลที่เป่ยไฮ่ลักษณะเป็นทรายละเอียด ไม่สะอาดเท่าไหร่ นักท่องเที่ยวมาก มีประติมากรรมคือ รูปปั้นโลก และผู้หญิงเปลือย ถัดจากนั้นคณะ เดินทางตลอดวันจุดหมายปลายทางคือเมืองกุ้ยหลิน
กุ้ยหลิน(Guilin)
เป็นหนึ่งในเมืองเอกของมณฑลกว่างซี มณฑลทางภาคใต้ของประเทศจีน ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 240,000 ตารางกิโลเมตร ทางทิศใต้ติดกับมณฑลหยุนหนัน ทางเหนือติด กับกุ้ยโจว ทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับหูหนัน ทางตะวันออกเฉียงใต้ ติดกับกว่างตง ทางใต้ติดกับอ่าวตังเกี๋ย และทางตะวันตกเฉียงใต้ติดกับ ประเทศเวียดนาม ลักษณะพื้นที่เป็นที่ราบแอ่งกระทะ และเทือกเขาขนาดเล็กที่ยาวคดเคี้ยวติดต่อกัน เทือกเขาสำคัญ ได้แก่ ภูเขาต้าหมิงซันและต้าเหยาซัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นเขตหินปูนขาวที่ครอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของประเทศ ด้วยเหตุนี้เองจึงมีถ้ำหินปูนอยู่มากมาย สภาพอากาศเป็นแบบเขตร้อน โดยทางเหนือเป็นเขตร้อนแถบเอเชียกลาง ทางใต้เป็นเขตร้อนแถบเอเชียใต้ อุณหภูมิเฉลี่ย 16-23 องศาเซลเซียส มีฝนตกชุก ฤดูร้อนยาวนานกว่าฤดูหนาว อุณหภูมิสูงสุดในเดือนกรกฎาคม ประมาณ 27-29 องศาเซลเซียส และต่ำสุดในเดือนมกราคมประมาณ 5.5-15.2 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,000-2,800 มิลลิเมตรต่อปี
เดินทางถึงเมืองกุ้ยหลิน 20.00 น. รับประทานอาหารค่ำและเข้าที่พักที่โรงแรม Hongkong

วันที่ 21 ตุลาคม 2553
ออกเดินทางจากที่พักเวลา 08.00 น. เพื่อล่องเรือที่แม่น้ำหลีเจียง แม่น้ำหลีเจียง ( Li River) หลีเจียง มีต้นน้ำมาจากเขาลูกแมวหรือที่ชาวจีนเรียกว่า “ มาวเอ๋อ ” ในเขตอำเภอซิงอ่านเมืองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลกวางสี ไหลลดเลี้ยวหลบหลีกขุนเขา ผ่านเมืองกุ้ยหลินถึงอำเภอหยางซั่วรวมความยาว 431 กิโลเมตร โดยมีชื่อใหม่ ช่วงต่อจากนั้นว่า กุ้ยเจียง ไหลเข้าสู่ชายแดนที่อำเภออู๋โจวเข้าสู่ทิศตะวันตก ของมณฑลกวางตุ้งที่เมืองเฟิงคาย มีชื่อใหม่ในกวางตุ้งว่า แม่น้ำตะวันตกหรือซีเจียง ไฮไลต์ของการมาเที่ยวที่กุ้ยหลินนี้อยู่ที่การล่องแม่น้ำหลีเจียง ที่มีความยาวกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อชมทิวทัศน์ที่สุดงดงามของภูเขาหิน ทั้งนี้โดยปกติแล้วการล่องแม่น้ำหลีเจียงเพื่อการท่องเที่ยวจะทำกันในระยะเวลา 60 กิโลเมตรโดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ด้วยเรือ 3 ชั้น ที่สองชั้นล่างจะทำเป็นโต๊ะอาหาร ขณะที่ดาดฟ้าจะเปิดโล่งให้นักท่องเที่ยวชมทิวทัศน์กันได้อย่างอิสระ ในราคาประมาณ 270 หยวน ( ราวพันกว่าบาท ) จุดหมายของการล่องเรือจะอยู่ที่เมือง หยางซั่ว (Yang-Shou)
หยางซั่ว ( Yangshuo)
ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองกุ้ยหลิน ห่างไปประมาณ 65 กิโลเมตร เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์สวยงาม จนมีคำกว่าวว่า “ หากกุ้ยหลินเป็นเมืองที่สวยที่สุดในจีน หยางซั่วก็เป็นที่ ที่สวยที่สุดในกุ้ยหลิน ” การเดินทางไปเมืองหยางซั่ว ทำได้ทั้งการล่องแม่น้ำหลีเจียง หรือโดยรถยนต์ หยางซั่ว เจริญเติบโตเพราะการท่องเที่ยว ทั้งหมู่บ้านแทบไม่มีสถานที่น่าสนใจ นอกจากร้านขายของ ร้านอาหาร และโรงแรม แต่รอบๆบริเวณเมืองหยางซั่ว มีสถานที่น่าเที่ยวชมหลายแห่ง นับว่าเป็นสวรรค์บนดิน ที่มีชื่อเสียง จนนักท่องเที่ยวมากุ้ยหลินแล้วต้องแวะ มาที่ หยางซั่ว ด้วย เนื่องจากการเดินทางโดย รถยนต์ที่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที หรืออาจจะนั่งเรือชมทัศนียภาพของหลีเจียง แล้วมาพักแรมที่หยางซั่ว ที่นี่จะสงบเงียบ เหมือนชนบท แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวก อย่างพรั่งพร้อมแก่ นักท่องเที่ยว ในราคาถูก ซึ่งจะมีย่านซึ่งประกอบไปด้วย ที่พักราคาถูก มีวิดีโอหนังฮอลลีวู้ดฉาย พร้อมร้านอาหารคาเฟ่ สไตล์ตะวันตก มีขนมแพนเค็ก พร้อมกาแฟ เพียงแต่ลูกค้ามีแต่ชาวต่างชาติเท่านั้น (ที่มา : www.travelchinaguide.com,วิกีพีเดียสารานุกรมเสรี)
ตอนเย็นเข้าชมการแสดงหลิว ซาน เจี๋ย การแสดงแสง สี เสียง ที่งดงามโดยใช้คนแสดงทั้งสิ้น 600 คน ผู้ชมในแต่ละรอบ ประมาณ 4,000 คน กลับถึงที่พัก 21.00 น.
ออกจากที่พัก เวลา 08.00 น.เพื่อเดินทางมาเขางวงช้าง เขางวงช้าง (Elephant Trunk Hill) เป็นสัญลักษณ์ของเมืองกุ้ยหลิน ตั้งอยู่ในตัวเมืองบริเวณจุดบรรจบของแม่น้ำ 2 สาย ได้แก่ หลีเจียงและถาวฮวาเจียง ( หยางเจียง ) เขางวงช้างมีรูปร่างหากมองจากมุมที่เหมาะจะเห็นเหมือนช้างกำลังใช้งวงดูดน้ำจากแม่น้ำหลีเจียง มีถ้ำลอดระหว่างงวงและขาหน้าของงวงช้างเป็นรูปทรงกลม มองดูคล้ายพระจันทร์กำลังตกน้ำยามพลบค่ำ ถ้ำนี้จึงมีชื่อว่า “ สุ่ยเย่ ” หรือพระจันทร์บนผิวน้ำ เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นหน้าขึ้นตาของเมือง
เวลา 10.00 น. เดินทางกลับเมืองหนานหนิง ถือที่พักที่โรงแรมซินหัวไทม์โฮเทล เวลา 20.00 น.
วันที่ 23 ตุลาคม 2553

เที่ยวตลาดนัดคล้ายจตุจักร ก่อนเดินทางเข้าร่วมพิธีปิดเวลา 14.00 น. เดินทางไปสนามบินหนานหนิง เพื่อกลับประเทศไทย โดยเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินฮ่องกง ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 23.00 น. โดยสวัสดิภาพ

Monday, June 15, 2009

ThinkQuest กับ gogoland

ThinkQuest หรือ www.ThinkQuest.com เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่างมูลนิธิเพื่อการศึกษาของ ORACLE กับ สำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยจุดมุ่งหมายถ้าอธิบายกันง่าย ๆ คือ ใช้เว็บไซด์นี้เป็นเครื่องมือช่วยจัดการเรียนการสอน ฟังดูว่าง่ายครับถ้าเราทำเหมือนที่เคยทำ คือนำเนื้อหาเข้าเว็บไซด์แล้วให้เด็กเข้าไปอ่าน แต่จากการเข้าไปสัมผัส “วิธีคิด” จริง ๆ ของ ThinkQuest ต้องยอมรับครับว่า สนุกและง่ายเข้าไปอีกขั้น จริง ๆ
ลองทบทวนวันที่เริ่มรู้จัก ThinkQuest ก็พอเดาทางออกว่าเราต้องกระทำอะไรบางอย่างลงไปในเว็บไซด์นี้เพื่อ ผู้เรียนจะได้เข้าถึง “ข้อมูล” หรือตามความเชื่อเราคือ “ความรู้” ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เพราะอย่างน้อยเราก็ต้องสอนตามสิ่งนั้น ความพยายามอีกขั้นของผมในช่วงแรกนั้น คือการใช้เครื่องมือที่ว่านี้ เป็นช่องทางสำหรับนำ “ผลลัพธ์” จากการเรียนเขียนคำประพันธ์ของผู้เรียน วางลงไปในเว็บไซด์ และให้รวบรวมผลงานออกมาเป็นหนังสือรูปเล่ม สำหรับสร้างความประทับใจให้กับผู้เรียน
หลังจากเข้าร่วมกิจกรรม กับ ThinkQuest ผมกลับมาทบทวนสิ่งที่ได้ทำมาก่อน กับสิ่งที่ ThinkQuest สอดแทรก “วิธีคิด” ลงในกิจกรรมอย่างค่อนข้างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม เกมกลุ่ม หรือ การฟังบรรยายจาก ดร.รังสรรค์ วิบูลย์อุปถัมภ์ จาก unicef ประจำประเทศไทย เกี่ยวกับ Life skills หรือ ทักษะการใช้ชีวิตสำหรับนักเรียนในทศวรรษที่ 21 ซึ่ง เมื่อฟัง “ทฤษฎี” แล้ว ได้ลงมือ “ปฏิบัติ” ไปพร้อมกันแล้ว ย่อม เกิด “ประสบการณ์” และ เป็น ความรู้ฝังลึก และมองอีกมุม นี่คือ “วิธีคิด”จริง ๆ ที่ ThinkQuest นำเสนอให้กับครูได้เข้าใจไปพร้อม ๆ กับ การปฏิบัติโดยกิจกรรมที่สนุก เชื่อมั๊ยว่า ครูหลายท่านเคยทำกิจกรรมดังกล่าวมาบ้างแล้ว รวมทั้งผม แต่ “ผลลัพธ์” มันแตกต่าง กัน อาจเพราะสิ่งแวดล้อมต่าง หรือสังคมต่างกันไป แต่เชื่อเถอะ เมื่อได้ “วิธีคิด”และ “คิดออกแบบ”ในทางที่แตกต่างกันตามบริบทที่อยู่กับเรา ผมเชื่อว่า มันต้องได้ “ผลลัพธ์” คล้าย ๆ กันในสักวัน
ย้อนกลับไปที่ย่อหน้าแรก ที่ผมเคยเชื่อว่า “ข้อมูล” คือ “ความรู้” ผมกำลังบ่นในกับตัวเองว่า คิดผิด! เพราะกิจกรรม ThinkQuest สอนให้เข้าใจความรู้ที่แท้จริง คือ การนำ “ข้อมูล” มาเล่าผ่าน “กิจกรรม” และจำลองสถานการณ์เพื่อสร้าง “ประสบการณ์” ผมเชื่อว่า มุมมองของผู้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวมีหลากหลาย เป็น “ความรู้จากประสบการณ์” ของแต่ละคน แตกต่างกันไป แล้วเมื่อนำไปเลือกใช้ให้ถูกที่ ถูกบริบท ความรู้ก็ย่อมจะเพิ่มพูนและขยายความรู้เดิมไปเรื่อย ๆ ทั้งผู้ให้และผู้รับ อย่างนี้กระมังที่เรียกว่า “ปัญญา” คือมันงอกเงยแบบไม่มีสิ้นสุด ...อืม....ถ้าผมพูดต่อผมคงต้องบวชก่อนถึง Think camp ถัดไปแน่ ๆ ขอเวลาอีกนิดให้คิดกิจกรรมใหม่ ๆ นะครับ เดี๋ยวจะรายงานให้ทราบต่อไป

Thursday, January 24, 2008

อรุณรุ่งที่รุ่งอรุณ .....





ได้มีโอกาสเดินทางร่วมทริปไปกับ นพ. จิตเจริญ อีกครั้ง ในการศึกษาดูงาน โรงเรียนต้นแบบ ของการจัดองค์กรการเรียนรู้ นั่นคือ โรงเรียนรุ่งอรุณ ในที่นี้ก็จะขอเล่า และสรุปแนวความคิด ให้กับผู้อ่าน และขออนุญาตเปรียบเทียบกับโรงเรียนของเราด้วย แน่นอน เกือบค่อนเรื่องก็ได้รับความอนุเคราะห์สมอง ของ อ.เก่ง ที่ได้สรุปสิ่งที่เห็นด้วยกัน แต่คนละมุมมอง มาไว้ที่นี้ด้วย ...
การศึกษาดูงานโรงเรียนรุ่งอรุณ และ บริษัท เครือซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)
ระหว่างวันที่ 14-16 มกราคม 2551


สิ่งที่คาดว่าจะได้รับจากการไปศึกษาดูงาน
1.1 แนวคิด เกี่ยวกับโรงเรียนในอุดมคติ ที่เป็นต้นแบบเพื่อเลือกหาแนวทางที่เหมาะสมในการประยุกต์ใช้กับโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
1.2 เข้าใจวิธีการสร้างองค์ความรู้ให้กับนักเรียนด้วยวิธีการแบบรุ่งอรุณรวมไปถึงระบบการจัดการของโรงเรียน


สิ่งที่พบเห็นจากการศึกษาดูงาน
โรงเรียนรุ่งอรุณ
โรงเรียนรุ่งอรุณ แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานครฯ เป็นโรงเรียนที่มีการจัดการเรียนรู้แบบองค์รวมมีแนวทางพุทธธรรมเป็นแกนหลักเชื่อมโยงกับทักษะในการดำเนินชีวิต มาเป็นแนวทางในการศึกษาของโรงเรียน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างคุณธรรมในระบบการศึกษาไทย สามารถสร้างวัฒนธรรมสถานศึกษาหรือวัฒนธรรมองค์กรใหม่เพื่อพัฒนาเยาวชนให้เป็นคนดี มีความรู้ อยู่ดีและมีสุข
การศึกษาและดูงานในวันที่ 15 มกราคม 2551 เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่คณะผู้ศึกษาดูงานได้เดินทางถึงโรงเรียนตั้งแต่เวลา 06.00 น เพื่อเตรียมความพร้อมและได้ศึกษาโดยการสังเกต สอบถามและฟังบรรยาย พบว่าเป็นโรงเรียนที่มีศักยภาพในหลายๆด้าน ทั้งนี้มีข้อค้นพบว่าสิ่งที่เป็นปัจจัยเสริมในการสร้างศักยภาพที่สำคัญของโรงเรียนคือ
1.การมีส่วนร่วมจากผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้การรับนักเรียนเข้าจะไม่ได้ใช้ระบบในการรับเข้าโดยการสอบ แต่จะเน้นการใช้การสอบสัมภาษณ์และอบรมผู้ปกครองเพื่อดูความพร้อมและศักยภาพของครอบครัวที่จะเข้ารับการศึกษา ส่งผลให้ผู้ปกครองมีความกระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมกับโรงเรียนตลอดเวลารวมไปถึงเมื่อมีการขอความร่วมมือจากทางโรงเรียน
2.ศักยภาพด้านการเงิน แม้ว่าโรงเรียนจะไม่ได้สังกัดสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)และอาศัยเพียงเงินรายได้จากค่าเล่าเรียนของนักเรียน และไม่ได้รับเงินจากการบริจาคแต่เฉพาะค่าเล่าเรียนก็สามารถนำมาบริหารจัดการเป็นค่าใช้จ่ายและเงินเดือนของครูและเจ้าหน้าที่ได้อย่างเพียงพอเพราะเรียกเก็บในอัตรา 100,000 บาท/คน/ปี แต่ผู้ปกครองก็ยินยอมที่จะจ่ายเพราะโรงเรียนมีผลงานและสภาพแวดล้อมที่เป็นที่ประจักษ์
3.สภาพภูมิทัศน์เป็นอีกปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้แขกผู้มาเยือนและผู้ที่ต้องการเข้าศึกษาประทับใจเนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากย่านความเจริญแต่ก็ไม่ได้ถูกคุกคามโดยความเป็นเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร เพราะยังคงรักษาสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ทั้งนี้แต่เดิมนั้นบริเวณนี้เป็นสวนส้มมาก่อนอีกทั้งผู้อำนวยการก็เป็นสถาปนิกมาก่อนจึงมีวิสัยทัศน์ในการตกแต่งอาคารเรียนและสภาพแวดล้อมโดยรอบให้เป็นที่น่าประทับใจ
ปัจจัยทั้งสามถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้โรงเรียนประสบความสำเร็จกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญ และนอกจากปัจจัยทั้งสามแล้วการดำเนินการของโรงเรียนจากการศึกษาดูงานสามารถแยกเป็นประเด็นต่างๆได้ดังนี้

1.ด้านการบริหารจัดการ
โรงเรียนรุ่งอรุณ มีเทคนิคการบริหารจัดการที่หลากหลาย ส่วนในการบริหารมีผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ และครูใหญ่ฝ่ายอนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษาตามลำดับ มีเทคนิคที่น่าสนใจดังเช่น
- ระบบการเรียนรู้ในองค์กรส่วนมากจะเป็นแบบ Face to Face คืออบรม พูดคุยแบบตัวต่อตัว ส่วนการอบรมรวมนั้นจะมีไม่บ่อยนัก
- การคัดเลือกครูและบุคลากรจะใช้วิธี ทดสอบเบื้องต้น การสัมภาษณ์ และทดลองงานเป็นเวลา 3 เดือน หากไม่ผ่านการประเมินก็จะทดลองต่ออีก 3 เดือน ทั้งนี้จำนวนครูในปัจจุบันมีทั้งสิ้น 124 คน เจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนประมาณ 100คน มีนักเรียนประมาณ 1,000 คน ถือได้ว่ามีอัตรากำลังครูและเจ้าหน้าที่จำนวนมากทำให้ดูแลนักเรียนได้ทั่วถึง
- ในส่วนบุคลากรมีการพัฒนาอยู่เสมอโดยมักอยู่ในรูปของการอบรม โดยอย่างน้อยบุคลากรทุกคนต้องได้รับการอบรมการฝึกจิตที่วัด หรือสถานปฏิบัติธรรม เพราะมีแนวคิดว่าการที่จะฝึกนักเรียนในวิถีทางแห่งพุทธได้นั้นครูต้องมีความพร้อมก่อน และในส่วนการดูแลสวัสดิการของครูและบุคลากรนั้นคล้ายกับหลายๆหน่วยงานเช่น ช่วยเหลือค่าที่พัก และบุตรบุคลากรที่เงินเดือนยังไม่ถึง 10,000 บาท จ่ายค่าเทอมเพียง 5% ของค่าเล่าเรียนและเปอร์เซ็นต์จะมากขึ้นเมื่อเงินเดือนสูงขึ้น
- การจัดการในห้องเรียน ห้องเรียนแต่ละห้องจะมีนักเรียนเพียงห้องละ 25 คนครูประจำชั้น 2 คน แต่หากเป็นระดับอนุบาลจะมีครูประจำห้องละ 3 คนทำให้ดูแลนักเรียนได้อย่างทั่วถึงอีกทั้งจากการออกแบบอาคารเรียนที่ลงตัวทำให้ครูประจำชั้นแต่ละระดับไม่จำเป็นต้องมีห้องพักครูสามารถทำงานที่หน้าห้องเรียนของนักเรียนได้จึงดูแลนักเรียนได้ดีเมื่อเกิดปัญหา นักเรียนก็เกรงใจครูที่อยู่หน้าห้องเป็นการฝึกวินัยและส่งเสริมการเป็นที่ปรึกษาที่ดีของครูประจำชั้น
- การรับนักเรียนเข้า จะคัดจากการสัมภาษณ์ผู้ปกครองหากผู้ปกครองมีความพร้อมและยินยอมรับเงือนไขของโรงเรียนจึงจะได้รับคัดเลือกทำให้ผู้ปกครองมีความกระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมกับทางโรงเรียนทั้งก่อนและหลังรับเข้า

2.ด้านวิชาการ
จุดเด่นทางด้านวิชาการของโรงเรียนคือมีความพยายามที่จะบูรณาการวิชาต่างๆเข้าด้วยกัน พยายามผลิตผลงานที่เป็นรูปธรรมของนักเรียนและครูและสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือแม้ว่าจะอยู่ในกรุงเทพมหานครแต่มีการนำเอาภูมิปัญญามาใช้ในการจัดการเรียนการสอน
- มีการเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองเข้ามีส่วนร่วมคือผู้ปกครองสามารถลงทะเบียนเรียนในรายวิชาต่างๆที่สนใจได้ วิชาที่ได้รับความสนใจเช่น วาดรูป ดนตรี ภาษา ทั้งนี้หากผู้ปกครองได้ใกล้ชิดนักเรียนจะช่วยทำให้เข้าใจธรรมชาติของนักเรียน ของวัยรุ่นได้ดีขึ้นจะช่วยให้เข้าใจบุตรหลานของตนและเลี้ยงลูกอย่างถูกวิธีมากขึ้
- มีการออกไปทัศนศึกษาอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะจากแหล่งเรียนรู้ชุมชนต่างๆ และมักจะอยู่ในรูปแบบการเข้าไปฝังตัวเพื่อศึกษาในเชิงลึก เช่นไปเรียนรู้ศิลปวัฒนธรร
- ครูมีเทคนิคในการสอนจากการอบรมและศึกษาจากประสบการณ์จริง เช่นเทคนิคในการเรียกสมาธิโดยการนับ การปรบมือ การปิดวาจาคือเมื่อได้ยินคำว่าปิดวาจาเป็นที่รู้กันว่านักเรียนทุกคนต้องเงียบสนิทในทันทีทันได
- มีการเปิดโอกาสให้นักเรียนที่มีความผิดปกติเช่นเด็กสมาธิสั้นเข้าเรียนมีทั้งเรียนร่วมและเรียนแยกจากนักเรียนปกติ
- มีเทคนิคในการเรียนการสอนแต่ละวิชาเช่นวิชาประวัติศาสตร์จะเน้นเรียนออกจากครอบครัวของนักเรียนออกสู่ประวัติศาสตร์ชาติ ศิลปและภาษาไทยเน้นให้เห็นของจริงก่อนจึงสอนว่ามันคืออะไร
- ครูและนักเรียนร่วมกันผลิตสื่อและตำราที่มีการออกแบบกิจกรรมแฝงไว้ในหนังสือต่างๆ ที่โรงเรียนมีฝ่ายผลิตหนังสือทำงานร่วมกับโรงพิมพ์ อีกทั้งโรงเรียนยังมีศูนย์จำหน่ายตำราและผลงานของนักเรียนและครูด้วย
- ทุกๆสิ้นเทอมจะมีโครงการประมวลความรู้ภายใต้ชื่อ โครงการหยดน้ำแห่งความรู้ เป็นนิทรรศการประมวลความรู้ที่ได้เรียนมาอาจนำเสนอในรูปแบบต่างๆเช่นละคร ก็ได้และเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองได้เข้าร่วมชื่นชมด้วย

3.ด้านการนำคุณธรรมและจริยธรรมมาใช้ในการเรียนการสอน
- โรงเรียนมีส่วนช่วยให้มีแหล่งจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรที่ปลอดสารพิษ โดยในทุกวันอังคารโรงเรียนอนุญาตให้มีการจำหน่ายผักปลอดสารพิษ ไข่ พืชผลทางการเกษตรที่ปลอดสารพิษจากจังหวัดสุพรรณบุรี และแหล่งเพาะปลูกใกล้เคียงมาจำหน่ายในโรงเรียนได้รับความนิยมจากผู้ปกครองมาซื้อหาจำนวนมาก เป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรมีกำลังใจที่จะผลิตสิ่งดีๆสู่สังคมและปลูกฝังให้นักเรียนได้ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมด้วย
- มีการรณรงค์ให้รับประทานอาหารว่างเป็นผลไม้ น้ำผลไม้ เพื่อลดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
- ชุมนุมจิตอาสาเป็นชุมนุมหลักในการช่วยเหลือสังคม เช่นเมื่อเกิดอุทกภัยหรือภัยพิบัติต่างๆชุมนุมนี้จะรีบออกไปช่วยเหลือทั้งที่เป็นสิ่งของและเข้าไปดูแลโดยตรง ชุมนุมมีเงินทุนสำรองโดยอาศัยการระดมทุนจากการการขอบริจาคสิ่งของของนักเรียนในโรงเรียนคนละ 1 ชิ้นมาทำการประมูลจากนักเรียนและผู้ปกครองทำให้มีเงินทุนสำรองปีละหลายแสนบาท อีกทั้งมีสิ่งของสำรองจากการร่วมทำบุญตักบาตรในกิจกรรมต่างๆที่พระจะมอบให้โรงเรียนต่อเพื่อนำไปเป็นสาธารณประโยชน์ต่อไป
- โครงการแผนที่คนดีเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ส่งเสริมความเข้าใจอันดีและการรู้จักให้เกียรติบุคคลอื่นในสังคม นักเรียนจะนำขันห้าไปขอใครก็ได้ในโรงเรียนที่ไม่ใช่ครูที่สอนตามปกติ เช่นแม่บ้าน คนงาน คนสวน มาเป็นครูของตนและจะใช้เวลาไปคอยช่วยเหลือและเรียนรู้อาชีพนั้นๆเป็นเวลาสองวันวันละสองชั่วโมงต่อเดือน เพื่อเรียนรู้ว่าทุกอาชีพมีความสำคัญ มีคุณค่า
- นักเรียนจะร่วมกันทำอาหารรับประทานเองและในช่วงสอบแอดมิดชั่นรุ่นน้องจะทำอาหารเพื่อรุ่นพี่ด้วยและเมื่อสอบเสร็จรุ่นพี่ก็จะทำอาหารให้รุ่นน้องทาน นักเรียนไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการเตรียมอาหารมีแม่บ้านเตรียมทุกอย่างไว้ให้นักเรียนเป็นผู้ปรุง สร้างประโยชน์ได้หลายอย่างทั้งเป็นการฝึกทักษะในการใช้ชีวิต การทำงานร่วมกับผู้อื่น การเสียสละและสร้างความภูมิใจ

4.ด้านโครงการพิเศษและกิจกรรมเสริมหลักสูตร
โรงเรียนรุ่งอรุณมีการจัดกิจกรรมเสริมในรูปแบบของโครงการอยู่หลายโครงการ มีทั้งโครงการเพื่อส่งเสริมศักยภาพของครู นักเรียน และโครงการเพื่อสังคม มีโครงการที่ดีเด่นอาทิเช่น
โครงการในรูปของโครงงาน
เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเสริมหลักสูตร มุ่งเน้นให้นักเรียนได้คิดค้นและประมวลความคิด โดยเฉพาะโครงการที่แก้ไขปัญหาต่างๆ เช่นเมื่อนักเรียนต้องการสะพานข้ามสระน้ำในโรงเรียนก็คิดค้นโครงงานแพข้ามสระน้ำ โครงงานศึกษาฝนกรดรอบสถานศึกษา เป็นต้น
โครงการของเสียเหลือศูนย์
เป็นโครงการที่ดีเด่นระดับประเทศ และได้รับรางวัลจากมูลนิธิโตโยต้าในด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม มีแนวคิดเรื่องการนำขยะของเสียที่ใช้แล้วมาก่อให้เกิดประโยชน์ เพื่อช่วยลดปริมาณขยะในโรงเรียนและครอบครัวของนักเรียนอันส่งผลต่อปริมาณขยะในสังคมด้วย มีการดำเนินการคล้ายโครงการขยะรีไซเคิลของหลายๆหน่วยงานแต่ว่ามีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมมากกว่าอีกทั้งมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของชีวิตนักเรียนและผู้ปกครอง
มีการดำเนินการในช่วงเช้าของแต่ละวันโดยนักเรียนจะนำขยะที่ผ่านการล้างและคัดแยกเบื้องต้นไว้แล้วของแต่ระดับมาทำการแยกย่อยที่โรงขยะกลาง ขยะที่ได้นั้นส่วนหนึ่งนำไปบริจาคเช่น ปฏิทินแข็ง โลหะสำหรับทำขาเทียม ส่วนอีกส่วนหนึ่งมีผู้มารับซื้อต่อ เงินที่เป็นรายได้นั้นจะนำเป็นเงินกองกลางสำหรับทำกิจกรรมของโรงเรียนเช่น การแสดงโขน เป็นต้น

บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน)
เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจ ตามความถูกต้องและความเป็นธรรม โดยยึดถือและปฏิบัติตามอุดมการณ์ในการดำเนินธุรกิจคือ
1. ตั้งมั่นในความเป็นธรรม
2. มุ่งมั่นในความเป็นเลิศ
3. เชื่อมั่นในคุณค่าของคน
4. ถือมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม
จากการศึกษาดูงานบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) บริษัทมีการดำเนินการบริหารจัดการที่ตระหนักต่อความรับผิดชอบต่อสังคมและการจัดทรัพยากรบุคคล มีการเข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นการจัดการความรู้ จะเห็นได้จากมีการจัดกิจกรรมอาทิเช่น
- การเข้าร่วมโครงการ KM ตั้งแต่ปี 2547 อยู่ในเครือข่ายของมหาวิทยาลัย เน้นการสร้างทีมและมีการแต่งตั้งทีมงานรับผิดชอบ
- โครงการ SD Sustainable Development Action Plan 2008 เป็นโครงการที่มุ่งให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และคน ดังที่ Hansei กล่าวไว้ว่าการกระทำสิ่งใดไม่ควรมุ่งแต่ผล ต้องมุ่งเน้นที่กระบวนการด้วย โดยเฉพาะการฝึกอบรมที่มีคุณภาพ
- หลักการทำงานที่ถูกต้องขององค์กรต้องเป็นไม่เป็นองค์กรตามใบสั่ง สมาชิกในองค์กรควรได้มีการนำเสนอความคิดและเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาองค์กร และเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ โดยเฉพาะการเรียนรู้ในรูปแบบของการดำเนินการกลุ่ม สร้างความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ ความมุ่งมั่นที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ และสุดท้ายคือการสะท้อนสิ่งที่เรียนรู้ ในส่วนขององค์กรก็ต้องดำเนินการ สร้างแรงบันดาลใจ สะท้อนตนเอง (วิเคราะห์รายบุคคล) และสุดท้ายคือการสร้างความเข้าใจในความแตกต่าง



















เปรียบเทียบกับองค์กรตนเอง เราตัวหนาก็แล้วกัน เน้น ๆ หน่อย

ร.ร. รุ่งอรุณ ร.ร. สาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

การบริหารงาน 

- ใช้การบริหารงานแนวนอนใช้ทั้งองค์กรเป็นผู้วางแผน ผ่านการประชุมระดับสายชั้น ในทุกสัปดาห์ และส่งขึ้นไปสู่ผู้บริหาร
- ใช้การบริหารงานแนวตั้ง กรรมการบริหารเป็นผู้วางแผนงานและนโยบาย และกระจายสู่องค์กร

- มีหน่วยงานสนับสนุนการสอนที่ชัดเจน พอเพียงและทำหน้าที่ตรงตามหน้าที่ตนเอง 
- มีหน่วยงานสนับสนุนการสอนที่ชัดเจน แต่ไม่เพียงพอ

- มีสวัสดิการและส่งเสริมความรู้ความสามารถของบุคลากร ในหลากหลายรูปแบบ อาทิ ส่วนลดค่าเล่าเรียนบุตรบุคลากร หรืออาหารกลางวันฟรี การอบรมสัมมนา
- มีสวัสดิการ และส่งเสริมความรู้ความสามารถบุคลากรหลายรูปแบบ แต่ก็น่าจะเพิ่มให้คล้าย ๆ กัน ...

ด้านอาคารสถานที่และภูมิทัศน์ 
- ถูกออกแบบมาให้ดูปลอดโปร่งสบาย ไม่อึดอัด ไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่เงียบและเป็นธรรมชาติ เหมาะกับการเรียนการสอน 
อาคารสถานที่และภูมิทัศน์ ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นโรงเรียนในเมืองร้อน จึงอาศัยเครื่องปรับอากาศเป็นหลักในหน้าร้อน ต้นไม้ยังไม่เพียงพอ

ด้านวิชาการ
- เครื่องแบบนักเรียนและครู ใส่ตามสบาย แต่ก็มีแบบฟอร์ม เพื่อกรณีไปสอบข้างนอก นักเรียนจึงไม่มีความรู้สึกกดดันเวลาเรียน
- มีเครื่องแบบนักเรียนหลากหลาย

- มีการให้งานนักเรียนส่งผ่าน blog และการผลิตหนังสั้น 
- มีการให้งานนักเรียนส่งผ่าน blog และการผลิตหนังสั้น แต่ยังไม่แพร่หลายนัก 

- เน้นการออกแบบการเรียนการสอนของครู มากกว่าหลักสูตรแกนกลาง
- เน้นเนื้อหาแกนกลาง มากกว่าการออกแบบการเรียนการสอนของครู 

- เน้น องค์กรการเรียนรู้ มากกว่าระบบการศึกษา 
- เน้นสอบเข้ามหาวิทยาลัย มากกว่าองค์กรการเรียนรู้

- การจัดห้องเรียน ห้องละ 25 คน สายชั้นละ 3 ห้อง ช่วงชั้นละ 6 ห้อง และอยู่ช่วงชั้นละตึก 75 คน ไม่แออัด
- การจัดห้องเรียน ห้องละ 40 คน สายชั้นละ 5 ห้อง ช่วงชั้นละ 15 ห้อง และช่วงชั้นละชั้น 600 คน ค่อนข้างแออัด 

- การจัดหลักสูตร แบบเป็น 3 ภาคการศึกษา อิงหลักสูตรแกนกลางของกระทรวง 
- การจัดหลักสูตร แบบเป็น 2 ภาคการศึกษา อิงหลักสูตรแกนกลางของกระทรวง 

บุคลากร เข้าใจระบบการจัดการความรู้ (KM) เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญต่อการจัดการศึกษาของโรงเรียน
บุคลากร เข้าใจระบบการจัดการความรู้ (KM) สัดส่วนไม่มากนัก 

- มีการจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนโดยเน้นประสบการณ์ตรง ทัศนศึกษาบ่อยเพื่อสร้างองค์ความรู้ 
- มีการจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนโดยเน้นประสบการณ์ตรง ทัศนศึกษาไม่มากครั้ง 

- การจัดตึกเรียนแบบบ้าน ทำให้นักเรียนมีความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน รู้สึกผ่อนคลาย 
- การจัดตึกเรียนแบบห้องชุด เพราะมีพื้นที่จำกัด ต้องใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด แต่ก็ใช้เครื่องปรับอากาศสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย 

-ในระดับ ม. 6 มีการจัดการติวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย 
-ในระดับ ม. 6 มีการจัดการติวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย มากกว่า


     มูลเหตุที่เกิดความแตกต่างของรูปแบบการจัดการโรงเรียน เพราะเป้าหมายโรงเรียนต่างกัน เช่น การมุ่งให้นักเรียนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ในคณะที่ดี เป็นเป้าหมายของโรงเรียนสาธิตฯ ที่ถูกตั้งเงื่อนไขโดยผู้ปกครองแล้ว แต่ในส่วนของโรงเรียนรุ่งอรุณ ผู้ปกครองไม่มีความเครียดในการเข้าศึกษาต่อของนักเรียน เนื่องเพราะ ความพร้อมทางการเงิน และต้องการมุ่งในนักเรียนในปกครองมีความรับผิดชอบและเรียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี โรงเรียนรุ่งอรุณจึงมีปัจจัยเอื้อต่อการจัดรูปแบบดังกล่าว และพร้อมจะทำโรงเรียนในอุดมคติของผู้ก่อตั้งได้อย่างราบรื่นและอีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างและจำเป็นอย่างยิ่งที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามต้องรีบปรับปรุงโดยเร็ว คือ วิธีการสร้างองค์ความรู้ให้กับนักเรียน โดยใช้รูปแบบที่หลากหลาย เพราะสิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องทำโดยเร็ว เพราะหากมีกระบวนการเรียนที่หลากหลายแล้ว ผลประโยชน์ย่อมเกิดกับผู้เรียน จะเติมเต็มสิ่งที่นักเรียนเราขาดให้สมบูรณ์ขึ้น



ข้อเสนอแนะในการแก้ไขความแตกต่าง

โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ต้องหันกลับมาเน้นสิ่งเหล่านี้ อันได้แก่
1. คน ซึ่งเป็นแหล่งความรู้และเป็นผู้นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ หมายถึงทั้งครู และ นักเรียน
2. เทคโนโลยี ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยในการค้นหา จัดเก็บ แลกเปลี่ยน และนำความรู้ไปใช้ได้อย่างง่ายและรวดเร็วขึ้น โดยนำมาผนวกเข้ากับการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียน และครูสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา เป็นการจัดเก็บความรู้ของครู อีกทางหนึ่ง
3. กระบวนการความรู้ ซึ่งเป็นการบริหารจัดการเพื่อนำความรู้จากแหล่งความรู้ไปยังผู้ใช้ เพื่อทำให้เกิดการปรับปรุง เชื่อมโยง ต่อยอด หรือนวัตกรรมความรู้นั้น ๆ
โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จึงจำเป็นต้องวางแนวทางการพัฒนาองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนให้มีความเชื่อมโยงและบูรณาการอย่างสมดุล ทั้งนี้ จากการศึกษาดูงานพบว่า โรงเรียนรุ่งอรุณ มีจุดเด่นในการพัฒนาระบบที่ โดยมีปัจจัย สำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ โดยสรุป ดังนี้
1. การพัฒนาคน เป็นจุดเน้นที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อน ขององค์กร เช่น การส่งไป อบรม การเป็นวิทยากรของกระทรวงศึกษาธิการ
2. การสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ ทั้งสภาพแวดล้อมภูมิทัศน์ และ บรรกาศการทำงานในระดับชั้นที่มีการเสนอแผนการสอนให้ผู้อื่นฟัง และยอมรับฟังซึ่งกันและกันและพร้อมแก้ไขเมื่อมีข้อผิดพลาด นับ เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการพัฒนา
3. ความมุ่งมั่น จริงจัง ของผู้บริหารโรงเรียน
4.การบริหารงานในองค์กร ที่เริ่มจากจุดเล็ก ๆ ก่อน แล้วจึงขยายวงกว้างขึ้น ไม่อาศัยคำสั่ง แต่บุคลากรทุกคนพร้อมจะทำงานอย่างเต็มความสามารถของตนเอง

        ข้อเสนออีกประการหนึ่งคือโรงเรียน ควรจะจัดให้มีหน่วย KM และจัดตั้งหน่วยงานโครงการตำราและพัฒนาสื่อขึ้นในโรงเรียน เพื่อเป็นการเชื่อมต่อองค์ความรู้และสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ให้กับหน่วยงาน โดยให้ทั้งองค์กรมีส่วนร่วม จะเป็นผลดีต่อการพัฒนาโรงเรียนมากขึ้น

Monday, October 29, 2007

อ.โก้ กับ สาธิตวิชาการ ครั้งที่ 2

กิจกรรมผลิตภาพยนตร์สั้น :
การเรียนรู้วรรณกรรมท้องถิ่นผ่านการผลิตสื่อโดยผู้เรียน
Short Film Production :
Studying of local literature via media making by learner
สัจจพงษ์ ญาตินิยม
Gotos69@gmail.com



“ครูเคยรู้ไหมครับ ว่าสิ่งที่ผมจะเรียน ผมต้องการมันรึเปล่า?” “ครูว่าหนูจะ ได้เอาหมอลำของครู ไปร้องเป็นอาชีพไหมค่ะ? ” “ครูเข้าใจไหมคะ หนูอายที่จะพูดอีสาน” “ขอเกรดสี่เลยครับครูครับ” “ครูไม่เข้าใจตุ้ม?” ฯลฯ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคำถามที่ผู้เรียน ถามให้ผู้เขียนตอบ ในฐานะที่เป็นครูสอนวิชาภาษาไทยเพิ่มเติม ในรายวิชาที่หลักสูตร (หมายถึง หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และหมายถึงผู้ที่คิดมันขึ้นด้วย) กำหนดให้เรียน แต่เด็กมีความปรารถนาน้อยที่จะเรียน วิชาที่ว่านี้คือวิชา “วรรณกรรมท้องถิ่น” ในความที่เป็นครูผู้ดันทุรังสูง จะตอบแบบตรง ๆ ก็ดูจะเป็นการทำร้ายจิตใจของหลักสูตร แต่ถ้าจะเออออ ไปกับผู้เรียนด้วย คงจะไม่เป็นอันเรียนอันสอน ผู้เขียนจึงต้องหาทางออกให้กับชีวิตตนเองโดยรวมหัวกับผู้เรียน ออกแบบ วิชาเรียนโดยใช้ชื่อเดิมแต่ทำวิธีการสอนไม่ซ้ำเดิม เป้าหมายคือ ลดทอนความน่าเบื่อของวิชา แต่เพิ่มประสิทธิภาพด้านทักษะ และวิธีการคิด แต่เนื้อหายังคงอยู่ โจทย์ที่หนึ่งก็เริ่มสนุกแล้วใช่ไหมครับ
ด้วยพื้นเพ ผู้เรียนเป็นเด็กกลุ่มศิลป์ ภาษาอังกฤษ –ฝรั่งเศส มัธยมศึกษาปีที่ 5 มีจำนวน กำลังพอดี 30 คน คาบเรียนแรกปฐมฤกษ์ หากถามว่าจะเรียนยังไง คงได้รับคำตอบว่า ไม่เรียนแน่ ผู้เขียนได้ออกแบบวิธีไว้ล่วงแล้ว หน้าที่ของผู้เขียนในคาบแรกนี้ ก็คือพยายามทำให้นักเรียนเห็นด้วยกับสิ่งที่จะทำ แน่นอนด้วยวัยของผู้เรียน อะไรที่ท้าทายก็มักจะสนใจ เราไม่สอบปลายภาค เราจะทำหนังสั้น จากเนื้อหาที่เรียนในภาคเรียนนี้ ผู้เรียน ๆ เริ่มสนใจตอนนี้ยังไม่คำนึงถึงความยาก – ง่าย งานนี้ ผู้เขียนใช้เครื่องมือจัดการความรู้ spa โมเดล ในการวางแผนการสอน spa ไม่ใช่ การนวดนะครับ แต่ spa คือ
1. เรื่องเล่าเร้าพลัง (Storytelling) เป็นการถอดความรู้ฝังลึกโดยการมอบหมายให้ผู้ที่มีผลงานดี หรือมีวิธีการทำงานที่ดี มาเล่าให้คนอื่นๆ ฟังว่าทำอย่างไร คนเล่าจะต้องเล่าให้สนุก น่าฟัง เร้าใจ เล่าให้เห็นการปฏิบัติ เห็นบุคคล ตัวละครในเหตุการณ์ ใช้ภาษาเชิงปฏิบัติจริง เล่าสิ่งที่ตนเองทำจริงๆ กับมือ ไม่ปรุงแต่ง ใส่สีตีไข่ เล่าเหมือนเล่านิทานให้เด็กฟัง โดยช่วงแรกเราใช้นิสิตในคณะสถาปัตยกรรม มาเป็นบุคคลต้นคิด เหตุผลที่ให้นิสิตสถาปัตยกรรมมาเร้าพลัง เพราะต้องการให้เห็นว่า แม้กระทำหนังสั้นจะไม่ใช่ เรื่องของสถาปัตยกรรม แต่ถ้าใจรัก และอาศัยความเพียร อะไรก็ทำได้
2. เพื่อนช่วยเพื่อน (Peer Assist) เชิญทีมอื่นมาแบ่งปันประสบการณ์ดีๆ (best practice) ให้เรา มาแนะ มาสอน มาบอก มาเล่าให้เราได้ฟังเพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้ในกลุ่ม งานนี้เราแบ่งกลุ่มเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 15 คน แน่นอน กลุ่มอ่อน ก็ย่อมเป็นที่รังเกียจ และย่อมโคจรไปอยู่ด้วยกันแน่ ฉะนั้นกลุ่มเก่งกว่าก็ทำหน้าที่หนักกว่าอีกด้วย คือ ต้องช่วยเหลือด้านเทคนิคและเนื้อหา
3. การทบทวนหลังปฏิบัติการ หรือ การถอดบทเรียน (After Action Review : AAR) เมื่อทำงานเรื่องใดเรื่องหนึ่งเสร็จแล้ว ก็มีการมานั่งทบทวนร่วมกัน ผ่านทางการเขียนและการพูด ด้วยการตอบคำถามง่ายๆ ว่า สิ่งที่เรียนหรือทำวันนี้เพื่ออะไรหรืออยากได้อะไร ทำแล้วได้ตามที่คาดหวังไว้ไหม ทำไมถึงได้มากกว่าหรือน้อยกว่า ได้อะไรดี ๆ เพิ่มขึ้นมาบ้างและถ้าจะทำแบบนี้อีกควรปรับปรุงอย่างไร ในระยะหลังมีคนคิดการทบทวนก่อนปฏิบัติ (Before Action Review : BAR) ขึ้นมาใช้และ การทบทวนขณะปฏิบัติ (During Action Review : DAR) ตรงนี้ครับคือ คะแนนปลายภาคของผู้เรียน
ดูเป้าหมายหมายจะไกลและยากเหลือเกิน ปัญหาอยู่ที่ว่าเมื่อลงมือสอนแล้ว ครูแนบเนียนในการนำไปใช้รึเปล่า เพราะถ้านำหลัก spa ไปใช้แล้ว ทำเป็นขั้นตอนจนเด็กจับพิรุธ มันก็ไม่ต่างกับรูปแบบการสอนเดิม ๆ ครับ พอใกล้จะปลายภาค หลังจากที่เรียนในห้องปกติแล้ว เสาร์-อาทิตย์ ผู้เรียนก็ชวนครูมาบันทึกภาพ บ้างก็มานั่งตัดต่อวิดีโอกันที่โรงเรียน สิ่งที่ได้เกินคาดคือ จากนักเรียนสายศิลป์ ภาษา ซึ่งรู้เรื่อง ตัด – ต่อ วิดีโอ ด้วยคอมพิวเตอร์น้อยเป็นทุนเดิม แต่เดี๋ยวนี้เริ่มได้กำไร คือ เริ่มคล่องแคล่วขึ้น รู้มากขึ้น ที่สำคัญ ผู้เขียนก็จำเป็นต้องคล่องกว่า จากที่ไม่คล่องเลย นี่ครับเรียกว่า อานิสงส์ ของการเรียนรู้ร่วมกัน เมื่อตัดต่อเสร็จเรียบร้อยพร้อมฉาย สิ่งที่ได้คือ กำลังใจจากผู้ชมทั้งโรงเรียนที่พร้อมใจกัน ซื้อตั๋วหนังใบละ 2 บาท จนล้นห้องฉาย ผู้เรียนได้ความภาคภูมิใจในการทำงานอีกทบหนึ่ง นี่เรียกว่าถึงเหนื่อยหน่อยแต่ก็คุ้มใช่ไหมล่ะครับ.


นำเสนอ : งานสาธิตวิชาการ และ EDUCA 2007 ณ ไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 25 - 28 ตุลาคม 2550